วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

เป็นยังไงบ้างคะ หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  ช่วงนี้อากาศแปรปรวนบ่อยมาก จิตใจคนก็พลอยปั่นป่วนไปด้วย แถบยุโรปช่วงนี้บางประเทศเจอฝนและพายุหนัก บางประเทศหิมะลงผิดฤดูกาล ทำให้พืช ผักผลไม้ดอกไม้ที่กำลังจะออกดอกออกผลเสียหายมากมาย นี่แหละธรรมชาติหรือธรรมะ ไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้เลย ความไม่เที่ยงเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง....

วันนี้ฉันก็มีเรื่องน่าสนใจจะเล่าสู้กันอ่าน เพื่อเป็นอุทาหรณ์หรือเครื่องเตือนใจ  เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมาสด ๆ ร้อนได้ ๗ วันนี่เอง....เมื่อสามวันที่ผ่านมานี้ได้มีผู้หญิงไทยคนหนึ่ง โทรมาอวยพรเนื่องในวันแม่ให้กับฉัน (ช้าไป ๑ วัน) เธอนับถือฉันเหมือนแม่ เพราะเวลาเธอมีปัญหาอะไรก็ตาม มักจะกริ๊งมาระบายให้ฉันฟัง แล้วร้องไห้ให้ฟังเป็นประจำ ฉันก็จะต้องหาวิธีพูดปลอบใจเธอ จนกระทั้งทำให้เธอหัวเราะได้  บางครั้งระบายนานเป็นชั่วโมงก็ไม่ยอมจบ เพราะยังไม่ได้หัวเราะ หนักหน่อยร้องไห้มาก ๆ ก็จะเกิดอาการหายใจไม่ออก จะตายซะง่าย ๆ งั้นแหละ แต่ก็รอดทุกที  ฉันขอสมมติชื่อผู้หญิงคนนี้ว่า "สวย" ฉันรู้จักกับสวยมาร่วม ๒๐ ปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ฉันได้ยินแต่เรื่องความทุกข์ของเธอมาตลอด จึงคิดว่าน่าจะนำเรื่องกรรมของเธอ มาเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้อ่านกันบ้าง จึงได้ขออนุญาตจากเธอ ๆ ก็เต็มใจที่จะให้ฉันเขียน เพื่อเป็นวิทยาทาน.....บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองมีทุกข์มากกว่าใคร ๆ  ถ้าได้อ่านเรื่องกรรมของผู้หญิงชื่อสวยแล้ว ท่านอาจจะบอกกับตัวเองว่า "ทุกข์ของเรามันน้อยนิดมาก" ก็เป็นได้นะ....

ขอย้อนกลับเข้าสู่เรื่องซะที พอสวยอวยพรให้ฉันเสร็จ เธอก็ถามฉันว่าสบายดีมั้ย เธอจะถามเช่นนี้เสมอ ถ้าฉันตอบว่าไม่ค่อยสบาย เธอก็จะไม่คุยนาน คราวนี้ฉันบอกว่าสบายดี เธอก็ถือโอกาสเริ่มเรื่องของเธอทันที เธอเล่าว่า "ช่วงนี้ซวยอีกแล้ว ซวยแบบสุด ๆ เลย เจอระเบิดลูกใหญ่เลยล่ะ เรื่องเก่ายังไม่คลี่คลาย เรื่องใหม่ซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก อยากจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะที" รู้สึกว่าเธอจะใช้สำนวนนี้เสมอ ๆ เวลาเธอมีปัญหาหนัก ๆ  ฉันก็ใช้สำนวนของฉันเช่นกัน ก็จะบอกกับเธอว่า "อย่าเพิ่งรีบตายเลย ลองอยู่ดูชีวิตต่อไป ดูกรรมต่อไป ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราอีก บางทีผลของกรรมดีอาจจะส่งผลสักวันก็ได้ ไม่มีใครรู้ ถ้าขืนตายตอนนี้ โดยที่ยังไม่ได้สะสมกุศล ตายไปพร้อมกับโทสะก็จะต้องไปสู่อบายภูมิได้" พอได้ฟังเช่นนั้น เธอก็ไม่เถียงสักคำ

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมานี้ เธอได้ไปทำงานตามปรกติ งานของเธอก็คือทำหน้าเสริพอาหารอยู่ที่ร้านอาหารไทยให้เมืองหนึ่ง เธอต้องนั่งรถไฟไปทุกวัน นั่งรถไฟแค่ ๒๐ นาที ทำงานทั้งวัน เลิกเที่ยงคืน วันที่เกิดเหตุนั้น  ในตู้ที่เธอนั่งไม่มีผู้โดยสารอื่นเลย  ตอนที่เธอขึ้นไปนั่งตอนแรก ก็เห็นมีเด็กวัยรุ่นผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง เดินผ่านเธอไป เธอคิดว่าเขาคงจะเดินไปลงรถ  เมื่อรถไฟแล่นไปได้สักระยะ เธอรู้สึกเหนื่อยและเพลียมากจากการทำงานทั้งวัน จึงได้เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว  มารู้สึกตัวอีกที รถไฟจอดที่สถานีปลายทางและคนขับรถไฟดับเคลื่องรถเรียบร้อยแล้ว  เธอตกใจมาก เมื่อตื่นมาไม่พบกระเป๋าถือใบสำคัญของเธอ ในกระเป๋ามีเอกสารสำคัญ มีเงินหลายร้อยสวิสฟรังค์ โทรศัพท์มือถือ บัตรธนาคาร สิ่งมีค่าอีกหลายอย่างที่เธอพกติดตัวเป็นประจำ เธอเล่าว่า  เมื่อได้สติเธอรีบวิ่งไปหาคนขับรถไฟ ขอร้องให้เขาช่วยโทรแจ้งตำรวจให้ด้วย  ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งแล้ว ที่สถานีรถไฟไม่มีใครเลย นอกจากเธอกับคนขับรถไฟเท่านั้น  คนขับรถไฟก็ได้รีบโทรแจ้งตำรวจทันที ตำรวจก็รีบมาทำการสอบสวนเรื่องราว  เสร็จแล้วจึงพาเธอไปส่งที่พัก  กุญแจของอพ้าทเม้นก็ติดไปในกระเป๋าถือ ตำรวจจึงต้องเรียกช่างกุญแจฉุกเฉินมาเปิดให้  เธอบอกว่าเธอแฟนบอกเลิก ก็เจ็บปวดสาหัสพอแล้ว ยังต้องมาสูญเสียเงินทองและของมีค่าอีกหมดตัวเลย มีเงินติดอยู่บ้านแค่ร้อยฟรังค์เท่านั้น เงินเดือนก็ขอเบิกล่วงหน้ามาครึ่งหนึ่งเพื่อชำระภาษี ตั๋วรถไฟประจำปีก็เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วัน ก็ติดอยู่ในกระเป๋า ตั๋วรถไฟแพงมาก ทุกอย่างต้องซื้อใหม่หมด เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว อยู่คนเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใคร เช้ามาก็ไปทำงาน กลับบ้านตอนดึก พอถึงบ้านก็นอนเพื่อที่จะตื่นมารับผลของกรรมในวันรุ่งขึ้นต่อไป  จนเธอไม่อยากจะตื่นอีกแล้ว เพราะไม่อยากที่จะพบกับความทุกข์ความเศร้าใจอีก

ตลอดชีวิตมีแต่ปัญหามากมาย หลังจากเหตุการณ์ถูกคนขโมยกระเป๋าถือผ่านไปได้หนึ่งวัน เธอได้รับจดหมายทวงหนี้ จากบริษัทเครดิตเงินกู้ ซึ่งเธอกับสามีเก่า เคยกู้เงินร่วมกันมาและร่วมกันทำล้มละลาย ด้วย เป็นเวลา ๒๐ ปีมาแล้ว  ตอนนี้ครบกำหนดสัญญาที่เธอจะต้องชำระหนีคืน เรื่องนี้ก็ทำให้เธอเจ็บแสบมาแล้ว เธอโดนสามีโกงเอาเงินที่กู้ด้วยกันไปใช้คนเดียว หนีไปอยู่กับผู้หญิงอื่น เป็นเหตุทำให้เธอต้องฟ้องหย่า แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น กลับมีผลต่อเนื่องมาถึงวันนี้ คือเธอจะต้องรับผิดชอบใช้หนีทั้งหมดเป็นจำนวนร่วม ๓๕ พันสวิสฟรังค์คนเดียว เพราะว่าตอนเซ็นสัญญากู้ เธออ่านภาษาเยอรมันไม่ออกรู้เรื่อง ตอนนั้นเพิ่งมาอยู่ได้สามเดือนกว่า ๆ  เพิ่งแต่งงานใหม่ ก็ไว้ใจสามีมาก คิดว่ารักจริง จึงเซ็นส่งเดชไปและคิดว่าจะได้เงินมาสักก้อน เพื่อมาลงทุนทำอะไรสักอย่าง แต่ผิดคาดเลยนะ เธอไม่ได้เห็นเงินเลยสักเหรียญเดียว ในที่สุดตอนนี้เธอต้องมาวิ่งเต้น หาทนายความใจดีที่ไม่คิดค่าทำงานช่วย แต่ก็หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เพราะค่าทนายความที่สวิตเซอร์แลนด์แพงยิ่งกว่าอาชีพอื่น ๆ หลายเท่า  สวยพอดำรงชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งมาตลอด ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนเพราะไม่มีเงิน แต่เธอก็มีพระธรรมเป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดตลอดมา

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เห็นมั้ยค่ะ ว่ากรรมนี่วิจิตรมากขนาดไหน เมื่อมันสุกงอมเต็มที่แล้ว มันก็จะส่งผลทันที โดยไม่เลือกกาลเวลา มันส่งผลติดต่อกันหลายเรื่องได้ เป็นเรื่องราวหลายตอนได้ บางเรื่องก็ยาวนานกว่าจะจบ บางเรื่องก็สั้น บางเรื่องก็เกิดพร้อมกันหรือซ้อนกันได้ ก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของเจตนากรรม เพราะฉะนั้นเราควรสะสมแต่กุศลกรรมให้มาก ๆ  ด้วยการฟังธรรมะเพื่อละความเห็นผิด เพื่อสะสมความเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งเกิดดับหรือชีวิต (ขันธ์ ๕) จะได้มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้าด้วย....เราจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน "สติ" เป็นธรรมที่คุ้มครองกายและใจได้ทุกสถานการณ์ เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติให้ยิ่ง ๆ ขึ้น