วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

สุนัขเจ้ากรรม

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ..... ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศเริ่มเย็นในตอนเช้า ๆ มีหมอกปกคลุมขาวไปหมด เป็นเมืองในหมอก เพราะจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง.....วันนี้มีเรื่องจะเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ

เรื่องนี้เกิดกับตัวฉันเองเมื่อสามปีมาแล้ว....มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิบากในฝ่ายอกุศล ซึ่งไม่มีทางเลี่ยงได้เลย.....สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน.....กรรมใดใครก่อ ผลของกรรมย่อมเป็นของผู้นั้นอย่างแน่นอน....เรามีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ หนีไม่พ้นกรรมเลยนะคะ.....อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด....สามปีผ่านมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่ลืมเลือนเลย....ฉันชอบตื่นแต่เช้า ไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์คนเดียวบนภูเขาใกล้ ๆ บ้าน เป็นประจำทุกวัน....บางวันก็ไปยืนคุยกับวัว พอเขาเห็นฉันเดินเขาไปใกล้ ๆ  เขาก็จะพากันเดินเข้ามาหา บนภูเขาที่นั่น มีวัวของชาวนา เป็นสิบ ๆ ตัว เขาปล่อยไว้กลางแจ้ง.....บางวันพวกวัวเขาก็เป็นมิตรดี  บางวันพอเข้าไปใกล้หน่อย ทำเป็นร้องกลัวเรา พากันเมินหน้าแล้วก็เดินหนีไป (ทุกอย่างเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้).....บรรยากาศตอนเช้า ๆ  เย็นสบายสดชื่น  ฉันออกเดินทุกวันจนเป็นนิสัย เดินสวดมนต์ไปด้วยเพื่อให้จิตเป็นกุศล แล้วก็พิจารณาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นการเจริญกรรมฐานอยู่เนื่อง ๆ ดีกว่าหายใจทิ้งเปล่า ๆ  บางวันก็ไม่เจอคนเลยสักคน เพราะเช้าเกิน เขายังไม่ตื่นกัน......ฉันต้องเดินตอนเช้าเพราะว่าต้องการรับพลังจักรวาล.....ร่างกายกจะได้แข็งแรงดี จิตใจก็ปลอดโปร่ง....

เช้าวันหนึ่งฉันรู้สึกลังเลใจมาก ไม่รู้จะเลือกเดินถนนสายไหนดี จะออกเดินเริ่มจากทางซ้ายไปขวาหรือจะเดินจากทางขวาไปซ้ายดี  รู้สึกว่าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ส่วนมากแล้วพอจะออกเดินก็เดินไปเลย ไม่มีการคิดจะเลือกเส้นทาง  วิธีเดินของฉันก็คือจะเดินไม่ย้อนกลับ เพราะถนนมีรอบบ้าน จะเดินไปทางไหนก็ไม่ต้องย้อนกลับ.....เช้านี้หันหน้าหันหลังอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจิตบอกว่า ไปทางซ้ายแล้วอ้อมกลับทางขวาก็แล้วกัน.....พอเดินไปสุดถนนโค้งจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง  เป็นหลังสุดท้าย....วันนี้เจ้าของบ้านตื่นเช้ากว่าปรกติ ฉันเดินมาหลายวันแล้วก็เพิ่งเจอวันนี้  เขายืนคุยกับคนรู้จักกันอยู่ที่หน้าบ้าน..... ตามมารยาทของคนสวิสก็จะต้อง มีการกล่าวสวัสดีกัน  ฉันก็หันไปกล่าวสวัสดีพวกเขา  แล้วก็เดินต่อไปตามปรกติ.....ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง "โฮ้ง ๆ ๆ "  อยู่ด้านหลังฉัน......ฉันก็รีบหยุดเดินทันที ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ว่าจิตเขาสั่งให้หยุดเดิน  ยืนนิ่งด้วยความสงบ....พอสิ้นเสียงสุนัขเห่าเท่านั้นแหละ  เร็วเหลือเกินแทบตั้งตัวไม่ติดพื้น  ได้ยินเสียงฝีตีนของสุนัข กระโจนแค่สองครั้งเท่านั้น.....กระโดดตะปบที่ไหล่ข้างซ้ายของฉันอย่างแรงแถบจะล้มทั้งยืน  ตัวมันหนักมาก (ยังไม่เห็นตัวกันเลย) ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันทีเดียว....ขณะนั้นจิตก็คิดว่า "เจ้าสุนัขเอ๋ย ถ้าเราไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก่อน เจ้าก็อย่าได้ทำอะไรข้าเลย ถ้าหากข้าเคยทำกรรมกับเจ้ามาก่อน ก็เชิญเจ้าตามสบายเถิด"  นี่ถ้าฉันมีอกุศลวิบากหนัก ฉันคงโดนเจ้าสุนัขขย้ำหน้าเละไปเสี้ยวหนึ่งแล้วล่ะ....แต่นี่แกไม่ทำอะไรมากไปกว่าการเอาลิ้นออกมาเลียที่ใบหูเรา.......ส่วนเจ้าของสุนัขนั้น  เขาอยู่ระหว่างช๊อค คงจะยืนตลึงสักครู่หนึ่ง แล้วจึงวิ่งมาที่ฉัน  ทำเป็นดุด่าสุนัขว่าทำไมทำอย่างนั้น....เขาก็กล่าวขอโทษแทนสุนัข...ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก

เหตุการณ์เช่นนี้มันไม่เกิดบ่อย ๆ  ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด......ฉันคงจะเคยทำกรรมกับสุนัขมาก่อนแน่ ๆ เลย   คงจะเคยแกล้งทำให้เขากลัวมาก.....เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดกับคนสวิส เขาก็คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่  ถึงกับแจ้งตำรวจจับ เรียกค่าทำขวัญกัน ทำให้เจ้าของสุนัขต้องเดือดร้อนเสียเงินเสียชื่อเสียงอีกด้วย เพราะตามกฏหมาย  เจ้าของสุนัขที่พาสุนัขไปเดินนอกบ้าน  จะต้องมีเชือกล่ามสุนัขไว้ตลอด นอกจากไปในที่ที่ไม่มีผู้คน  กรณีนี้เจ้าของสุนับเขาคงจะคิดว่ายังเช้ามากอยู่ ไม่มีคนเดิน เขาจึงไม่ได้สนใจที่จะล่ามเชือกไว้  แต่ฉันก็ไม่โกรธเขาหรอก เพราะคิดว่ามันเป็นวิบากของตนเอง  ทุกวันไม่ออกเดินสายนี้ จะเป็นแค่ทางกลับ พอเดินก็ได้เรื่องเลย.....นี่ถ้าฉันไม่เคยเจริญสติมาก่อน  มาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็คงต้องวิ่งหนีแน่ ๆ  พอวิ่งหนีเมื่อไหร่ สุนัขแกก็จะคิดว่าเราหนีแก ๆ ก็จะยิ่งมีกำลังโกรธมากขึ้น....."สติ" เท่านั้นที่จะเป็นอาวุธป้องกันภัยในทุก ๆ ทีได้ค่ะ....."สติ" กั้นกระแสกิเลสทั้งปวง.....เรื่องนี้เป็นไงบ้างค่ะ ถ้าท่านผู้อ่านเจอเหตุการณ์อย่างฉัน ท่านจะรู้สึกอย่างไร.....ทางที่ดีที่สุด.....ควรเริ่มฝึกเจริญสติเพื่อเป็นอาวุธป้องกันภัยในชีวิตประจำวัน  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไปนะคะ 

                                                        .....................................................

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

เป็นกรรมกับหอยทาก

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....พบกันอีกนะคะ  วันนี้ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้เห็นมากับตนเองเมื่อไม่นานมานี่เอง.....มันเป็นเรื่องวิบากกรรมหรือผลของกรรมที่ไม่มีทางเลี่ยงได้เลย  ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน"  เราเกิดมาหลายภพหลายชาติ  ไม่สามารถระลึกได้ว่า ตนเองได้กระทำกรรมอันใดไว้บ้าง  บางครั้งเราคิดว่า เราไม่เคยทำอกุศลกรรมอะไร  แต่ทำไมถึงเจอแต่เรื่องซวย ๆ อยู่บ่อย ๆ  จนชักจะอิ่มในการกระทำความดี....แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านเกิดความรู้สึก อิ่มในการกระทำความดีเพราะเหตุว่า ทำความดีแล้วไม่ได้ดี แต่คนทำชั่วได้ดีมีถมไป......พึงรับทราบไว้เถอะว่า ที่เขาทำชั่วได้ดีนั้น เพราะเป็นผลกรรมดีของอดีตชาติของเขา....แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในปัจจุบันก็ส่งผลในชาตินี้ได้เหมือนกันนะคะ การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล  ตามหลักธรรมะ..."กรรม" หมายถึง "เจตนากรรม" เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นพร้อมกับจิต เรียกว่า เจตนาเจตสิก มีลักษณะจงใจ ตั้งใจ ขวนขวาย

ที่สวิตเซอร์แลนด์.....ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะชื้นเพราะมีฝนตกบ่อย ๆ  เวลาเช้า ๆ หรือตอนเย็น ๆ จะมีสัตว์เลื้อยคลายอยู่ ๒ ชนิด คือ "ตัวลิ้นหมา" และ "หอยทาก" ชอบออกมาหาอาหารกิน อาหารของสัตว์พวกนี้ก็คือ ใบไม้ใบหญ้าอ่อน และดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม อย่างเช่นดอกดาวเรือง เขากินแบบชนิดไม่มีการเกรงกลัวเจ้าของดอกไม้เลยนะ.....ฉันเคยปลูกดอกดาวเรืองไว้รอบสระปลา ไว้ชมความงามตอนเช้า ๆ มันสวยดี ได้ชมอยู่แค่วันเดียว  พอเช้าวันรุ่งขึ้น โดนตัวลิ้นหมาเขมือบเกลี้ยงเลย ตั้งแต่นั้นมา ฉันเลยเลิกปลูกดอกไม้ในสวนเด็ดขาด เพราะไม่อยากมีโทสะ และไม่อยากมีกรรมกับสัตว์เดรัจฉานด้วย....บางคนเขาไม่สนใจ  และไม่รู้เรื่องเวรกรรมอะไรทั้งนั้น  เขาก็จะใช้เม็ดยาพิษหว่านตามพื้นรอบ ๆ ต้นดอกไม้และบริเวณสวน  พอสัตว์พวกนี้เลิ้อยไปได้กลิ่น มันก็จะพากันกิน แล้วก็พากันตายเป็นแถวเลย  ฉันเห็นแล้วเกิดความสงสารคนใจบาป ที่จะต้องได้รับผลของกรรมในวันหนึ่งอย่างแน่นอน

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้....เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านของฉัน  เขามีสวนดอกไม้สวยมาก ๆ  มีดอกไม้สารพัดชนิด เจ้าลิ้นหมากับเจ้าหอยทากไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสดอกไม้ของเขาหรอก  เพราะเขาใช้ยาพิษโรยทั่วบริเวณสวน จะเห็นสัตว์พวกนี้นอนตายอย่างน่าสมเพท  มียาพิษติดอยู่ที่ปากและมีเมือกสีขาว ๆ ไหลออกมา สัตว์พวกนี้ไม่มีเลือดสีแดงเหมือนสัตว์อื่น เพราะความที่ไม่รู้เรื่อง "กรรมและผลของกรรม" ว่ามีจริง ยิ่งกระทำกรรมโดยเจตนาด้วย จะได้รับผลกรรมอย่างรวดเร็ว....สองสามีภรรยาเป็นคนรักสวนมาก เพราะเขาไม่มีลูก จึงใช้เงินทุ่มเททำสวนดอกไม้ราคาแพง  เป็นการชดเชยสิ่งที่ขาด แต่สวนดอกไม้ก็เป็นเหตุปัจจัย
ให้เขาขยันฆ่าตัวลิ้นหมาและหอยทากทุกวัน ๆ ละหลายสิบตัว โดยเฉพาะผู้เป็นสามี ชอบทำสวนมากจึงเป็นศัตรูกับสัตว์สองชนิดนี้อย่างเปิดเผย

ในที่สุดกรรมได้ส่งผลเร็วเกิดคาด  ส่งงผลในชาตินี้.....เขาป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งที่หลอดลม  ไม่สามารถพูดได้เหมือนปกติ  ต้องผ่าตัดคอหลายครั้ง แต่ก็ไม่ดีขึ้น เขาต้องทุกข์ทรมานอยู่ ๒ ปี ส่วนภรรยานั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ป่วย  แต่ก็เหมือนป่วยด้วยกัน เพราะเธอต้องคอยปรนนิบัติสามี ตลอดจนถึงวินาทีสุดท้าย....มีอยู่วันหนึ่งฉันเจอสองสามีภรรยาโดยบังเอิญในโรงรถของเขา  ขณะที่เขากำลังจะไปหาหมอ  สามีฉันได้บอกกับสองสามีภรรยาคู่นี้ว่า  ฉันมีพลังจิตสามารถรักษาโรคกรรมได้  เขาก็ยินดีให้ฉันรักษา  ฉันบอกเขาว่า ขอตรวจดูก่อนว่า พอจะช่วยได้ไหม ฉันได้กำหนดจิตตรวจดูด้วยพลังฝ่ามือ ได้พบว่าเจ้ากรรมนายเวรของเขาคือ พวกลิ้นหมากับหอยทากเยอะมาก ๆ เลย เขาไม่ยอมปล่อยกรรม  ฉันจึงไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้ จึงบอกกับเขาว่า ช่วยไม่ได้หรอก.....ฉันสงสารเขามากตั้งแต่แรกที่เห็นเขาขยันหว่านยาพิษ อยากจะเตือนเขา แต่เขาก็คงจะไม่เชื่อ.....เขาได้ชดใช้กรรมอยู่สองปีเต็ม ๆ .....หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เขาจะลาโลกไป  เขาได้ขอมาสนทนากับฉันและสามีเป็นครั้งสุดท้ายที่บ้าน  เขาขอเข้าไปนั่งในศาลา ในศาลานี้มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประทับอยูองค์หนึ่ง  เขาก็มานั่งชมพระพุทธรูปและสนทนากับเราอยู่ไม่นานก็กลับ....ก่อนวันสิ้นใจเขาได้มาเข้าฝันฉันว่า....ขอให้ฉันช่วยบอกทางให้ด้วย  เขาอยากจะไปโบสถ์ แต่ไปไม่ถูก  ฉันก็ช่วยบอกทางให้เขา....นี่แหละค่ะ ผลแห่งกรรม....."กรรมใดใครก่อ ผลของกรรมย่อมเป็นของคนนั้น"  

ท่านผู้อ่านทุกท่านก็คงจะรู้จักสัตว์เลื้อยคลานสองชนิดนี้ดีนะคะ  ถ้าไม่ชอบก็อย่าฆ่าเขา จะได้ไม่เป็นเวรกรรมต่อกันจะดีกว่านะคะ