สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้นานทีเดียว พบกันคราวนี้ ฉันมีเรื่องจากประสบการณ์ตรงมาเผยแพร่ คิดว่าคงจะมีประโยชน์ ต่อชีวิตประจำวันสำหรับทุกท่านไม่น้อยทีเดียว เพราะเหตุว่าในชีวิตประจำวัน แต่ละวันของปุถุชนทั่วไป ก็ย่อมจะต้องมีสภาพธรรมประเภทหนึ่ง ชื่อว่า "ริษยา" เกิดกับจิตได้ขณะใดขณะหนึ่ง....ริษยาเป็นนามธรรมเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกับจิต และดับพร้อมกับจิต ริษยาเจตสิกเป็นสภาพธรรมฝ่ายอกุศล มีอารมณ์ที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นเหตุปัจจัย และเป็นแดนเกิด เมื่อริษยามีกำลังมากขึ้น ก็สามารถที่จะทำให้บุคคลนั้น ประกอบอกุศลกรรมได้ ดังมีตัวอย่างต่อไปนี้
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงลาวคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า เธอได้เบอร์โทรของสมาคมไทย-กวนอิม-สวิตเซอร์แลนด์ มาจากเพื่อนคนไทย เหตุผลที่โทรมาหาฉัน ก็เพราะว่าเธอมีปัญหาซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ด้วยตนเองได้.....ผู้หญิงคนนี้ชื่อ "ดวง" (นามสมมติ) ฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่พอได้ยินเธอบอกว่ามีปัญหาซึ่งไม่สามารถแก้เองได้ จึงได้โทรมาหาฉัน เผื่อบางทีฉันอาจจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง เพราะเพื่อนคนไทยเล่าให้ฟังว่า ฉันสามารถสื่อติดต่อกับวิยญาณ กับเทพและเทวดาได้ ด้วยพลังจิต เธอเลยคิดว่าอาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย จึงได้ตัดสินใจโทรมา
ฉันได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงชื่อดวง ได้ระบายเรื่องราวปัญหาของเธอตามอัธยาสัย เธอเริ่มเล่าประวัติของตนเองว่า เริ่มแรกก่อนที่จะมาแต่งงานกับคนสวิส เธอได้แต่งงานกับคนไทยและอยู่ที่เมืองไทย เธอเป็นพวกคนลาวอพยพ เคยอาศัยอยู่ที่เมืองไทย ๕ ปี จึงพูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนคนไทย อยู่ร่วมชีวิตกับสามีไทยได้ ๒ ปี ก็ต้องเลิกแยกทางกันเดิน เพราะเหตุว่ามีทัศนะต่างกันมาก ต่อมาได้มีเพื่อนคนไทย ที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ได้ชักชวนให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ บังเอิญได้รู้จักกับพ่อหม่ายคนหนึ่งเป็นชาวสวิส เลยตัดสินใจแต่งงานด้วย อยู่ด้วยกันไม่ถึงปี ก็มีลูกสาวผู้มีบุญหนักมาเกิดด้วย เธอบอกว่าก่อนที่จะตั้งครรภ์ ได้ไปขอลูกสาวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ได้ลูกสมดังปรารถนา จึงคิดว่าลูกต้องเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในอนาคต ลูกสาวเป็นเด็กที่เลี้ยงยากมาก ๆ ตั้งแต่เกิดมา ต้องฝากพยาบาลดูแลเลี้ยงให้ อยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเดินได้ จึงรับกลับบ้านมาเลี้ยงเอง.....
ดวงเล่าเรื่องชีวิตของเธอ เล่าไปเรื่อย ๆ ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ออกเสียงรับ อือบ้าง ออบ้าง จ๊ะบ้าง ก็แล้วแต่จังหวะ ฟังจนเมื่อยก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เล่ามาตั้งเยอะแยะก็ยังไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร ฉันเลยตัดบทเอาดื้อ ๆ เลยว่า "คุณดวง...คุณมีปัญหาจะให้ช่วยอะไรก็บอกตรง ๆ ได้เลยนะ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย" พอได้ยินเช่นนั้น เธอรีบตอบรวบรัดเลยว่า "ปัญหาของลูกสาว ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ" ฉันจึงบอกเธอว่า "งั้นก็เอาอย่างนี้ดีกว่าน่ะ พาลูกสาวมาหาฉันที่สมาคมได้มั้ย" เธอตอบตกลงทันที ถ้าฉันปล่อยให้เธอเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งวันก็คงไม่จบแน่ เพราะรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนมีอุปนิสัยชอบเจรจาจ๊ะจ๋า เป็นอันว่าเธอตกลงจะพาลูกมาหาฉันในวันรุ่งขึ้น....ฉันก็รู้สึกตื่นเต้น ยังไม่รู้จะเจออะไร !!
ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ดวงได้นำลูกสาวมาหาฉันตามนัด ลูกสาวเธออายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่โรงชั้นมัธยมปีที่ ๒ ที่โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ลูกของดวงมีชื่อว่า "ดวงตา" เป็นเด็กหน้าตาสวยมีเสน่ห์ ผมดำ ผิวสีชมพู รูปร่างสูงได้สัดส่วน ตัวโตเกินวัย พูดไทยเก่งเพราะชอบคลุกคลีกับครอบครัวคนไทย แม่ชอบพาไปเล่นกับลูกคนไทย....ฉันได้ถามหนูดวงตาว่า "ทำไมหนูไปเรียนที่โรงเรียนประจำ โรงเรียนใกล้ ๆ บ้านไม่มีหรือ" เธอตอบว่า "ตาไม่อยากอยู่กับแม่เพราะแม่ชอบบังคับโน่นบังคับนี่" เด็ก ๆ ก็มักจะไม่ชอบพ่อแม่ที่บังคับให้ทำตามใจพ่อแม่ เพราะเขาไม่เข้าใจความรักและความห่วงใยของพ่อแม่ จึงคิดว่าความหวังดี ความจริงใจของพ่อแม่ เป็นการบังคับเป็นการฝืนจิตใจเขา.....
ในที่สุดก็ไม่สามารถจะอยู่กับพ่อแม่ได้ จึงต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประจำ นาน ๆ ครั้งค่อยเจอกันจะได้ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทให้ทุกข์ใจ ถึงกระนั้นหนูดวงตากับพ่อแม่ ก็ยังมีเรื่องขัดเคืองใจกันทุกครั้งที่พ่อแม่ไปรับมานอนที่บ้านในวันสุดสัปดาห์ หนูดวงตาเล่าต่ออีกว่า เธอมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อเจนนี่ เธอสวยมากและเรียนเก่งด้วย มารยาทก็ดี มาจากครอบครัวฐานะดี เจนนี่เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ทุกคน และเป็นที่รักของเพื่อน ๆ ด้วย เป็นเหตุให้หนูดวงตา ไม่ค่อยชอบเจนนี่อย่างจริงใจ แต่ก็ไม่อยากคบคนที่ฐานะแย่กว่าตนเอง เลยคบกับเจนนี่มาตั้งแต่เห็นกันวันแรก ตอนนี้อยู่ปีที่ ๒ ก็ยังคบกันอยู่ พอเล่าถึงประโยคท้ายนี้ รู้สึกว่าน้ำเสียงเครือ ๆ เสียงของเธอเบาลง จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ และมีน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้างด้วย เธอเอ่ยต่อไปว่า "คุณป้าค่ะ...ตาปวดหัวไหล่ข้างขวามา ๓ เดือนแล้ว บางครั้งที่ข้อมือข้างขวาบวมและปวดมาก ไปให้หมอทำ x-ray ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ทานยาแก้ปวดก็ไม่หายค่ะ หนูไม่สามารถเรียนหนังได้ ต้องหยุดพักการเรียนบ่อยมาก ช่วยหนูด้วยนะคะ" ฉันได้ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสาร อยากจะช่วยเธอให้หายทุกข์ทรมานซะที แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม เป็นผลของการกระทำของเธอเอง เธอจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว เรื่องกรรมและผลของกรรม (วิบาก) นี้เป็นเรื่องที่ยุติธรรมมาก ทำอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้นแน่นอน
ขณะที่กำลังฟังเรื่องราวที่เด็กเล่าอยู่นั้น จิตของฉันก็ได้สัมผัสกับวิญญาณตนหนึ่ง ซึ่งสิงอยู่ที่ในตัวของเด็กหญิงผู้มีความริษยาเพื่อนผู้นี้ แต่ก็ยังไม่ทราบหรอกนะ ว่าเป็นใคร จึงสั่งให้เธอนอนหงายลงกับพื้นห้อง ต่อหน้าองค์พระแม่กวนอิม ให้หลับตาอยู่ในความสงบ เพราะว่าฉันจะต้องใช้พลังจิตสื่อกับญาณพระแม่กวนอิม ถามเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวเด็ก ว่าเขาต้องการอะไร ก็ได้ความว่าวิญญาณนี้เป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกับหนูดวงตา เขาเพิ่งเสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย ฉันจึงได้ถามดวงตาว่า "ที่โรงเรียนมีคนผูกคอตายมั้ย" เธอตอบทันทีว่า "มีค่ะ เพื่อนหนูที่ชื่อเจนนี่ เขาโกรธหนูมากที่หนูชอบแกล้งเขา จนทำให้ครูและเพื่อน ๆ เข้าใจเจนนี่ผิด เจนนี่เป็นคนไม่ชอบทะเลาะกับใคร ถ้าใครทำให้ผิดใจ เขาก็จะคิดแต่จะทำร้ายตัวเอง"
วิญญาณนี้เคยเป็นเพื่อนของเด็กดวงตา เขาอาฆาตมาก เพราะตายพร้อมกับโทสมูลจิต เมื่อตายแล้วก็ยังติดตามเพื่อนอยู่ ทำให้เพื่อนเจ็บป่วย กินไม่ได้นอนไม่หลับ และยังทำให้ปวดตามหัวไหล่และข้อมือมาตลอด นับตั้งแต่เจนนี่เสียชีวิต หนูดวงตาก็เจ็บป่วยมาตลอด..... ฉันจึงได้สื่อถามวิญญาเจนนี่ว่า"ต้องการอะไรจากเพื่อนชื่อดวงตา" เธอตอบว่า "ต้องการให้ดวงตาสารภาพความจริงให้หมด ว่าได้ทำอะไรไว้กับเธอบ้าง จนเธอถึงกับผูกคอตาย"......หนูดวงตาได้สารภาพว่า.... มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอได้ชวนเจนนี่หนีออกไปเที่ยวนอกโรงเรียนในตอนเย็น แล้วกลับเข้าที่พักในตอนดึก พอถูกอาจารย์จับได้ ดวงตาบอกกับอาจารย์ว่า เจนนี่เป็นคนชวนเธอไปเที่ยว ในที่สุดเจนนี่ก็ได้รับการลงโทษอย่างหนัก ขั้นถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องใต้ดิน ๒๔ ชั่วโมง ต่อมาภายหลังเมื่อครบกำหนดพ้นโทษ ปรากฏว่าเธอได้ผูกคอตายมาหลายชั่วโมงแล้ว ในห้องนั้นเอง.....หลังจากที่หนูดวงตาได้สารภาพผิดจนหมดแล้ว เธอบอกว่าอาการที่บวม และปวดที่หัวไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที อย่างไม่น่าเชื่อ เธอบอกว่าเธอเชื่ออย่างไม่สงสัยอีกแล้ว ว่าวิญญาณมีจริง และต่อไปนี้ จะประพฤติตนเป็นคนดี จะไม่เกเร ไม่แกล้งเพื่อน และจะไม่อิจฉาริษยาเพื่อน เพราะได้รู้โทษของ "ริษยา" แล้วว่าเป็นอย่างไร
เห็นมั้ยค่ะ....ว่าพิษสงของการจองเวร อันเนื่องมาจากอกุศลกรรม ที่ได้กระทำไว้กับผู้อื่น ทำให้ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจมากมายเพียงใด ยิ่งถ้าเป็นเจตนากรรมที่แรงมาก ๆ กรรมจะยิ่งส่งผลรวดเร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก......ทางที่จะรอดจากเวรก็คือ การไม่สร้างอกุศลกรรมด้วยความตั้งใจจงใจ (เจตนา) หันมาสะสมความดีให้มากขึ้น......นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกท่านในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติอยู่เนื่อง ๆ ด้วยการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...สติเป็นธรรมเครื่องคุ้มครอง กาย วาจา ใจ ในที่ทุกสถาน.....ขอยุติเพียงแค่นี้จ๊ะ แล้วพบกันในบทความใหม่นะคะ
................................................
หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้นานทีเดียว พบกันคราวนี้ ฉันมีเรื่องจากประสบการณ์ตรงมาเผยแพร่ คิดว่าคงจะมีประโยชน์ ต่อชีวิตประจำวันสำหรับทุกท่านไม่น้อยทีเดียว เพราะเหตุว่าในชีวิตประจำวัน แต่ละวันของปุถุชนทั่วไป ก็ย่อมจะต้องมีสภาพธรรมประเภทหนึ่ง ชื่อว่า "ริษยา" เกิดกับจิตได้ขณะใดขณะหนึ่ง....ริษยาเป็นนามธรรมเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกับจิต และดับพร้อมกับจิต ริษยาเจตสิกเป็นสภาพธรรมฝ่ายอกุศล มีอารมณ์ที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นเหตุปัจจัย และเป็นแดนเกิด เมื่อริษยามีกำลังมากขึ้น ก็สามารถที่จะทำให้บุคคลนั้น ประกอบอกุศลกรรมได้ ดังมีตัวอย่างต่อไปนี้
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงลาวคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า เธอได้เบอร์โทรของสมาคมไทย-กวนอิม-สวิตเซอร์แลนด์ มาจากเพื่อนคนไทย เหตุผลที่โทรมาหาฉัน ก็เพราะว่าเธอมีปัญหาซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ด้วยตนเองได้.....ผู้หญิงคนนี้ชื่อ "ดวง" (นามสมมติ) ฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่พอได้ยินเธอบอกว่ามีปัญหาซึ่งไม่สามารถแก้เองได้ จึงได้โทรมาหาฉัน เผื่อบางทีฉันอาจจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง เพราะเพื่อนคนไทยเล่าให้ฟังว่า ฉันสามารถสื่อติดต่อกับวิยญาณ กับเทพและเทวดาได้ ด้วยพลังจิต เธอเลยคิดว่าอาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย จึงได้ตัดสินใจโทรมา
ฉันได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงชื่อดวง ได้ระบายเรื่องราวปัญหาของเธอตามอัธยาสัย เธอเริ่มเล่าประวัติของตนเองว่า เริ่มแรกก่อนที่จะมาแต่งงานกับคนสวิส เธอได้แต่งงานกับคนไทยและอยู่ที่เมืองไทย เธอเป็นพวกคนลาวอพยพ เคยอาศัยอยู่ที่เมืองไทย ๕ ปี จึงพูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนคนไทย อยู่ร่วมชีวิตกับสามีไทยได้ ๒ ปี ก็ต้องเลิกแยกทางกันเดิน เพราะเหตุว่ามีทัศนะต่างกันมาก ต่อมาได้มีเพื่อนคนไทย ที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ได้ชักชวนให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ บังเอิญได้รู้จักกับพ่อหม่ายคนหนึ่งเป็นชาวสวิส เลยตัดสินใจแต่งงานด้วย อยู่ด้วยกันไม่ถึงปี ก็มีลูกสาวผู้มีบุญหนักมาเกิดด้วย เธอบอกว่าก่อนที่จะตั้งครรภ์ ได้ไปขอลูกสาวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ได้ลูกสมดังปรารถนา จึงคิดว่าลูกต้องเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในอนาคต ลูกสาวเป็นเด็กที่เลี้ยงยากมาก ๆ ตั้งแต่เกิดมา ต้องฝากพยาบาลดูแลเลี้ยงให้ อยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเดินได้ จึงรับกลับบ้านมาเลี้ยงเอง.....
ดวงเล่าเรื่องชีวิตของเธอ เล่าไปเรื่อย ๆ ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ออกเสียงรับ อือบ้าง ออบ้าง จ๊ะบ้าง ก็แล้วแต่จังหวะ ฟังจนเมื่อยก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เล่ามาตั้งเยอะแยะก็ยังไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร ฉันเลยตัดบทเอาดื้อ ๆ เลยว่า "คุณดวง...คุณมีปัญหาจะให้ช่วยอะไรก็บอกตรง ๆ ได้เลยนะ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย" พอได้ยินเช่นนั้น เธอรีบตอบรวบรัดเลยว่า "ปัญหาของลูกสาว ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ" ฉันจึงบอกเธอว่า "งั้นก็เอาอย่างนี้ดีกว่าน่ะ พาลูกสาวมาหาฉันที่สมาคมได้มั้ย" เธอตอบตกลงทันที ถ้าฉันปล่อยให้เธอเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งวันก็คงไม่จบแน่ เพราะรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนมีอุปนิสัยชอบเจรจาจ๊ะจ๋า เป็นอันว่าเธอตกลงจะพาลูกมาหาฉันในวันรุ่งขึ้น....ฉันก็รู้สึกตื่นเต้น ยังไม่รู้จะเจออะไร !!
ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ดวงได้นำลูกสาวมาหาฉันตามนัด ลูกสาวเธออายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่โรงชั้นมัธยมปีที่ ๒ ที่โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ลูกของดวงมีชื่อว่า "ดวงตา" เป็นเด็กหน้าตาสวยมีเสน่ห์ ผมดำ ผิวสีชมพู รูปร่างสูงได้สัดส่วน ตัวโตเกินวัย พูดไทยเก่งเพราะชอบคลุกคลีกับครอบครัวคนไทย แม่ชอบพาไปเล่นกับลูกคนไทย....ฉันได้ถามหนูดวงตาว่า "ทำไมหนูไปเรียนที่โรงเรียนประจำ โรงเรียนใกล้ ๆ บ้านไม่มีหรือ" เธอตอบว่า "ตาไม่อยากอยู่กับแม่เพราะแม่ชอบบังคับโน่นบังคับนี่" เด็ก ๆ ก็มักจะไม่ชอบพ่อแม่ที่บังคับให้ทำตามใจพ่อแม่ เพราะเขาไม่เข้าใจความรักและความห่วงใยของพ่อแม่ จึงคิดว่าความหวังดี ความจริงใจของพ่อแม่ เป็นการบังคับเป็นการฝืนจิตใจเขา.....
ในที่สุดก็ไม่สามารถจะอยู่กับพ่อแม่ได้ จึงต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประจำ นาน ๆ ครั้งค่อยเจอกันจะได้ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทให้ทุกข์ใจ ถึงกระนั้นหนูดวงตากับพ่อแม่ ก็ยังมีเรื่องขัดเคืองใจกันทุกครั้งที่พ่อแม่ไปรับมานอนที่บ้านในวันสุดสัปดาห์ หนูดวงตาเล่าต่ออีกว่า เธอมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อเจนนี่ เธอสวยมากและเรียนเก่งด้วย มารยาทก็ดี มาจากครอบครัวฐานะดี เจนนี่เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ทุกคน และเป็นที่รักของเพื่อน ๆ ด้วย เป็นเหตุให้หนูดวงตา ไม่ค่อยชอบเจนนี่อย่างจริงใจ แต่ก็ไม่อยากคบคนที่ฐานะแย่กว่าตนเอง เลยคบกับเจนนี่มาตั้งแต่เห็นกันวันแรก ตอนนี้อยู่ปีที่ ๒ ก็ยังคบกันอยู่ พอเล่าถึงประโยคท้ายนี้ รู้สึกว่าน้ำเสียงเครือ ๆ เสียงของเธอเบาลง จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ และมีน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้างด้วย เธอเอ่ยต่อไปว่า "คุณป้าค่ะ...ตาปวดหัวไหล่ข้างขวามา ๓ เดือนแล้ว บางครั้งที่ข้อมือข้างขวาบวมและปวดมาก ไปให้หมอทำ x-ray ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ทานยาแก้ปวดก็ไม่หายค่ะ หนูไม่สามารถเรียนหนังได้ ต้องหยุดพักการเรียนบ่อยมาก ช่วยหนูด้วยนะคะ" ฉันได้ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสาร อยากจะช่วยเธอให้หายทุกข์ทรมานซะที แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม เป็นผลของการกระทำของเธอเอง เธอจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว เรื่องกรรมและผลของกรรม (วิบาก) นี้เป็นเรื่องที่ยุติธรรมมาก ทำอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้นแน่นอน
ขณะที่กำลังฟังเรื่องราวที่เด็กเล่าอยู่นั้น จิตของฉันก็ได้สัมผัสกับวิญญาณตนหนึ่ง ซึ่งสิงอยู่ที่ในตัวของเด็กหญิงผู้มีความริษยาเพื่อนผู้นี้ แต่ก็ยังไม่ทราบหรอกนะ ว่าเป็นใคร จึงสั่งให้เธอนอนหงายลงกับพื้นห้อง ต่อหน้าองค์พระแม่กวนอิม ให้หลับตาอยู่ในความสงบ เพราะว่าฉันจะต้องใช้พลังจิตสื่อกับญาณพระแม่กวนอิม ถามเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวเด็ก ว่าเขาต้องการอะไร ก็ได้ความว่าวิญญาณนี้เป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกับหนูดวงตา เขาเพิ่งเสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย ฉันจึงได้ถามดวงตาว่า "ที่โรงเรียนมีคนผูกคอตายมั้ย" เธอตอบทันทีว่า "มีค่ะ เพื่อนหนูที่ชื่อเจนนี่ เขาโกรธหนูมากที่หนูชอบแกล้งเขา จนทำให้ครูและเพื่อน ๆ เข้าใจเจนนี่ผิด เจนนี่เป็นคนไม่ชอบทะเลาะกับใคร ถ้าใครทำให้ผิดใจ เขาก็จะคิดแต่จะทำร้ายตัวเอง"
วิญญาณนี้เคยเป็นเพื่อนของเด็กดวงตา เขาอาฆาตมาก เพราะตายพร้อมกับโทสมูลจิต เมื่อตายแล้วก็ยังติดตามเพื่อนอยู่ ทำให้เพื่อนเจ็บป่วย กินไม่ได้นอนไม่หลับ และยังทำให้ปวดตามหัวไหล่และข้อมือมาตลอด นับตั้งแต่เจนนี่เสียชีวิต หนูดวงตาก็เจ็บป่วยมาตลอด..... ฉันจึงได้สื่อถามวิญญาเจนนี่ว่า"ต้องการอะไรจากเพื่อนชื่อดวงตา" เธอตอบว่า "ต้องการให้ดวงตาสารภาพความจริงให้หมด ว่าได้ทำอะไรไว้กับเธอบ้าง จนเธอถึงกับผูกคอตาย"......หนูดวงตาได้สารภาพว่า.... มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอได้ชวนเจนนี่หนีออกไปเที่ยวนอกโรงเรียนในตอนเย็น แล้วกลับเข้าที่พักในตอนดึก พอถูกอาจารย์จับได้ ดวงตาบอกกับอาจารย์ว่า เจนนี่เป็นคนชวนเธอไปเที่ยว ในที่สุดเจนนี่ก็ได้รับการลงโทษอย่างหนัก ขั้นถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องใต้ดิน ๒๔ ชั่วโมง ต่อมาภายหลังเมื่อครบกำหนดพ้นโทษ ปรากฏว่าเธอได้ผูกคอตายมาหลายชั่วโมงแล้ว ในห้องนั้นเอง.....หลังจากที่หนูดวงตาได้สารภาพผิดจนหมดแล้ว เธอบอกว่าอาการที่บวม และปวดที่หัวไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที อย่างไม่น่าเชื่อ เธอบอกว่าเธอเชื่ออย่างไม่สงสัยอีกแล้ว ว่าวิญญาณมีจริง และต่อไปนี้ จะประพฤติตนเป็นคนดี จะไม่เกเร ไม่แกล้งเพื่อน และจะไม่อิจฉาริษยาเพื่อน เพราะได้รู้โทษของ "ริษยา" แล้วว่าเป็นอย่างไร
เห็นมั้ยค่ะ....ว่าพิษสงของการจองเวร อันเนื่องมาจากอกุศลกรรม ที่ได้กระทำไว้กับผู้อื่น ทำให้ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจมากมายเพียงใด ยิ่งถ้าเป็นเจตนากรรมที่แรงมาก ๆ กรรมจะยิ่งส่งผลรวดเร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก......ทางที่จะรอดจากเวรก็คือ การไม่สร้างอกุศลกรรมด้วยความตั้งใจจงใจ (เจตนา) หันมาสะสมความดีให้มากขึ้น......นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกท่านในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติอยู่เนื่อง ๆ ด้วยการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...สติเป็นธรรมเครื่องคุ้มครอง กาย วาจา ใจ ในที่ทุกสถาน.....ขอยุติเพียงแค่นี้จ๊ะ แล้วพบกันในบทความใหม่นะคะ
................................................