tag:blogger.com,1999:blog-5494390003913450172024-02-22T10:35:15.448-08:00กฏแห่งกรรมwww.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comBlogger24125tag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-84348768333802573772013-08-22T15:32:00.000-07:002013-08-22T15:32:22.679-07:00โดนหลอกไปขาย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่กรรมจะส่งผล ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงวิบากกรรมได้เลย ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้ได้เสวยสุขเบิกบานสำราญใจ ใครก็เลือกไม่ได้ว่าจะเสวยแต่สุขฝ่ายเดียว บางท่านก็อาจจะคิดว่าตนไม่มีวันที่จะเสวยทุกข์เป็นอันขาด เพราะว่าตนเองเป็นผู้ใจบุญใจกุศล ไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่นและมีศีลบริสุทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่า ในแต่ละวันจิตส่วนใหญ่เป็นไปในอกุศลมากกว่ากุศล เพราะเหตุว่าการที่จิตจะเป็นกุศลจิตได้นั้น ต้องเป็นไปใน ทาน ศีลและความสงบของจิต นับตั้งแต่ลืมตาตื่นเช้าขึ้นมา จิตก็เป็นไปในอกุศลแล้ว มีความติดข้องต้องการ ยินดี พอใจในสิ่งต่าง ๆ<br />
ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เรียกว่าจิตไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบทั้ง ๖ ทวาร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าสติไม่เกิดขึ้น ระลึกรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น ก็ย่อมจะได้เสวยความทุกข์เป็นส่วนใหญ่ <br />
<br />
เราเกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในชาติก่อน ๆ หลายภพหลายชาตินับไม่ถ้วน เราได้กระทำอะไรไว้บ้างไม่สามารถระลึกได้ แต่ผลของกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นไม่หนีไปไหนเลย แต่จะติดตามเหมือนเงาตามตัว จะส่งผลในวันใดวันหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยพร้อมแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเราก็อาจจะมีคำถามกับตัวเองหรือกับผู้อื่นว่า "มันเป็นไปได้อย่างไร ? " อย่างเช่น คนรวยมาก ๆ ต่อมากลับกลายเป็นคนยากจนข้นแค้นแสนเข็ญ ต้องเที่ยวขอยืมเงินเพื่อนฝูง หรือไม่ก็เที่ยวขอทานในที่สาธารณะ บางคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ดันพังอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นข่าวดังในทางเสียหายยับเยิน คนไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ก็เที่ยวโทษโน่นโทษนี่ หนักหน่อยก็คิดตัดช่องน้อยพอตัว ฆ่าตัวตายจากโลกไป นั่นก็เป็นเรื่องของจิตโง่ เพราะไม่มีที่พึ่งอันประเสริฐ ซึ่งหมายถึง "พระธรรม" มีพระธรรมเป็นที่พึง หมายความว่าต้องเข้าใจตามความเป็นจริงของขันธ์ห้าและเข้าใจเรื่องกรรม<br />
<br />
วันนี้ก็จะขอนำตัวอย่างเรื่องของกรรมมาเล่าสู่กันฟัง (อ่าน) มีป้าท่านหนึ่งได้เล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้ ญาติของเธอคนหนึ่งชื่อ "แหม่ม" (ชื่อสมมติ) อายุ 26 ปี เธอเป็นคนสวย รูปร่างสูงโปร่ง ผิวดำแดง เรียนจบวิชาชีพ เคยทำงานเป็นเสมียนลูกจ้างที่สำนักงานแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัดในประเทศไทย ต่อมาเธอได้ตกงาน ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบ จึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ ไปพักอยู่กับญาติ ๆ ได้แนะนำให้รู้จักกับผู้ชายไทยคนหนึ่ง เขาทำอาชีพรับสมัครคนไปทำงานเมืองนอก สาวแหม่มคนสวยผู้นี้ ก็ไต้ตกลงที่จะไปทำงานเมืองนอก เพราะคิดว่าคงจะมีรายได้ดีกว่าทำงานในเมืองไทยหลายเท่า ทางชายหนุ่มที่รับสมัครงานเขาบอกว่า ผู้จะไปทำงานต้องจ่ายเงินเองทุกอย่างก่อน เช่น ค่าทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก เป็นต้น ตกลงกันว่าให้ซื้อตั๋วไปลงประเทศกรีก แต่ต้องแวะที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 3 วันก่อน แล้วจึงจะบินต่อไปลงที่เอเธนประเทศกรีก พอถึงเวลานั้นจริง ๆ เหตุการณ์มันไม่เป็นตามที่ตกลงกันไว้ พอเครื่องบินแวะที่สวิตเซอร์แลนด์ เธอต้องพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้ สนามบิน เป็นเวลาสามวัน <br />
<br />
หลังจากพักได้เพียงสองคืน เธอก็ถูกหนุ่มไทยคนหนึ่งมารับตัวที่โรงแรม ถูกพาตัวไปทำงานในสถานที่แห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เมืองใด เพราะว่าถูกบังคับไปตอนกลางคืน เธอถูกบังคับให้ขายตัว ถูกกักขังสถานที่ ในที่นั้นก็มีผู้หญิงไทยหลายคน ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอ โดนบังคับและถูกตบตีทำร้ายร่างกาย ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของเขา ก็จะต้องเจ็บตัว สาวแหม่มโชคร้ายผู้นี้ไม่มีวีซ่าเข้าประเทศ จึงต้องอยู่แบบหลบซ่อน ลักลอบทำงานมืด คงจะมืดแปดด้านเพราะไม่สามารถติดต่อกับใครได้ ไม่มีโทรศัพท์ติดตัว ไม่มีเงิน ไม่มีพาสปอร์ต ถึงเวลาก็ต้องทำงานด้วยความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ<br />
<br />
สองสัปดาห์ผ่านไปโชคเข้าข้าง ตีสามของคืนวันหนึ่ง หลังจากเสร็จกิจหน้าที่กันแล้ว ก็มีการดื่มสังสรรค์กันทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ขณะที่พวกเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง ต่างก็เมากันได้ที่ สาวแหม่มได้วางแผนในใจไว้แล้ว ว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องออกจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้ แล้วจะจัดการกับเจ้าของสถานที่ให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้ข่วยพวกเพื่อนคนไทยที่นั่นด้วย เมื่อได้โอกาสตอนที่ทุกคนเมากันเต็มที่แล้วก็หลับไม่รู้ตัวตาม ๆ กัน เพราะโดนยานอนหลับที่เธอแอบใส่ในเครื่องดื่มให้ทุกคนดื่ม จากนั้นเธอก็รีบเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า คว้าเสื้อกันหนาวของเพื่อนได้ (ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว) แล้วรีบเผ่นอย่างเร็ว หนาวก็หนาวกลัวก็กลัวมาก ถ้าถูกพวกคุมสถานที่ตามจับตัวได้ เธอต้องตายทั้งเป็นแน่ ๆ แค่นี้เธอก็แทบตายทั้งเป็นอยู่แล้ว เดินหนาวสั่นอยู่บนถนนด้วยรองเท้าแตะ ลากกระเป๋าเดินคนเดียวตอนดึก ๆ ลองนึกสภาพดูเถอะท่านผู้อ่านคะ ฉันว่าถ้าใครเจอสภาพเช่นนี้ บังเอิญมีใครเดินผ่านมาพบเข้าสักคนก็ถือว่าโชคดีเหมือนได้เกิดใหม่เลยนะ สาวแหม่มไม่ทราบหรอก ว่าเธอกำลังเดินอยู่เมืองไหน ชื่ออะไร<br />
ตอนนั้นเทวดาเห็นแล้ว ท่านคงจะสงสารมั้ง เลยดลใจให้ชายผิวดำคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเธอ ๆ จึงขอร้องให้เขาพาไปส่งที่สถานีรถไฟ เพื่อจะไปหาญาติคนหนึ่ง ผู้ชายใจดีท่านนี้ ก็ช่วยโทรติดต่อญาติให้ แหม่มมีเบอร์โทรของญาติติดมาด้วย ญาติของเธอไม่เคยเห็นแหม่มร่วม ๒๐ ปีกว่า พอทราบข่าวก็ตกใจ จึงขอร้องให้ชายหนุ่มนั้น ช่วยซื้อตั๋วแล้วส่งสาวแหม่มขึ้นรถไฟให้ด้วย เขาก็ทำตามที่ขอร้อง แถมยังออกเงินค่าตั๋วให้ด้วย เมื่อถึงปลายทาง สาวแหม่มก็ได้พบกับญาติของเธอมารอรับ <br />
<br />
ในเช้าวันเดียวกันนั้นเอง ญาติของแหม่มได้พาไปแจ้งความตำรวจ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้ประสบมาให้ตำรวจบันทึกไว้เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป ตำรวจได้นำแหม่มไปพักไว้ในที่ปลอดภัย เป็นที่พักสตรีโดยเฉพาะ ทางตำรวจให้ความคุ้มครองเธอเป็นอย่างดี เพราะว่าแหม่มโดนเจ้าของสถานที่ขายบริการขู่ไว้ว่า ถ้าหนีออกไปจากสถานที่นั้นเมื่อไหร่ เขาจะตามไปฆ่าพ่อแม่ญาติพี่น้องของเธอให้ตายหมด จะเผ่าบ้านด้วย สาวแหม่มได้พักอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์เพียง ๒ เดือน ทางตำรวจได้ส่งตัวเธอกลับเมืองไทย <br />
<br />
ตำรวจได้สืบหาสถานที่ขายบริการแห่งนี้จนพบ และติดตามดูความเคลื่อนไหวของเจ้าสถานที่อยู่ห่าง ๆ <br />
ในเวลาไม่นานนักก็ได้ข่าวว่า เจ้าของสถานที่แห่งนี้ ถูกตำรวจจับและถูกสั่งปิดไม่มีกำหนด ตอนนี้ก็เข้าไปเสวยทุกข์อยู่ในคุกฝรั่งเรียบร้อยแล้วด้วย ส่วนสาวแหม่มคนสวยก็คงไม่อยากไปทำงานเมืองนอกอีกแล้ว เธอได้ไปเสวยอกุศลวิบากอย่างหนักที่ต่างแดน สุดแสนจะทุกข์ระทมขมขื่นมาก เห็นไหมค่ะ...เรื่องวิบากกรรมเป็นเรื่องที่ใครก็หลบหลีกไม่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไร กำหนดไม่ได้เลย เรื่องของสาวแหม่มนี้ เธอก็ยังโชคดีมีผลของกุศลกรรมช่วยให้พ้นจากภยันตราย ได้เสวยอกุศลวิบากเพียงระยะสั้น <br />
<br />
ถ้าเรามองในแง่ของกรรม ก็จะเห็นว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน ตนเป็นผู้เสวยผลกรรมของตน ไม่มีใครรับผลกรรมแทนกันได้ ไม่มีใครทราบได้ว่า กรรมของชาติใดจะส่งผล เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะศึกษาเรื่อง "กรรม" ให้เข้าใจ เมื่อถึงเวลาที่กรรมส่งผลไม่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตาม จิตใจก็จะไม่หวั่นไหวมาก จะสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ และถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในโลกนี้ ด้วยความรัก ความเมตตากรุณาและเกื้อกูลเอื้อเฟื้อต่อกันด้วยความจริงใจ ชีวิตก็คงจะมีความสุขมากกว่าความทุกข์เป็นแน่ <br />
<br />
บทความนี้ คงจะพอเป็นข้อเตือนใจเกี่ยวกับ "การคบคนแปลกหน้า" ควรไตร่ตรองด้วยเหตุผลให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะตัดสิ้นใจลงทุนทำกิจอะไรสักอย่างกับคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน. <br />
<br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-46463005438056369272012-09-24T01:14:00.000-07:002012-09-24T01:14:30.688-07:00อย่างนี้ก็มีด้วย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน<br />
<br />
ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้นานหน่อยนะคะ พบกันคราวนี้ก็มีเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ มาเล่าสู้กันอ่านจ๊ะ ตามชื่อเรื่องที่ตั้งไว้ว่า "อย่างนี้ก็มีด้วย" คงจะสงสัยนะคะว่า มันเรื่องอะไรหนอ..... เรื่องจริงค่ะ เพิ่งเกิดกับตัวผู้เขียนเอง ไม่ทราบว่ามันเกิดได้ยังไง ถ้าท่านได้อ่านจบแล้ว ลองช่วยคิดหน่อยนะคะ ว่าเรื่องเช่นนี้สมควรกระทำหรือไม่ เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น ฉันก็จะขอเล่าเรื่องเลยนะคะ<br />
<br />
เมื่อ ๒ วันผ่านมานี้ เวลาเช้าประมาณ ๙ นาฬิกา เป๋นเวลาที่ฉันกำลังเจริญความสงบอยู่ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวัน วันนั้นได้มีเหตุการณ์พิเศษหน่อยนะ คืออยู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นรบกวน ฉันก็ต้องรีบพรวดพราดออกจากสมาธิ เพื่อไปรับโทรศัพท์ มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งโทรมาถามว่า "ตื่นหรือยัง" ฉันก็ตอบ "ตื่นแล้ว" เธอถามย้ำอีกว่า "ตื่นหรือยัง" ฉันได้แต่นึกในใจว่า ทำไมเธอถามแบบนี้ ใครจะบ้านอนลืมตาอยู่ได้ตั้ง ๙ โมงแล้ว เธอคงคิดว่าเราขี้เกียจหลังยาวมากซินะ แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร จึงถามไปว่า "พี่มีอะไรหรือคะ ถึงได้โทรมาแต่เช้า" เธอตอบว่า "เมื่อวานนี้พี่ได้สั่งกระดูกหมูอ่อนสด ๆ มาให้เธอไว้กิน สั่งมาตั้งหลายกิโล จะหิ้วมาให้ถึงบ้านก็หนักและไม่มีรถขับ ที่สั่งให้หลายกิโลเพราะเห็นว่าอยู่กันหลายคน จะได้ประหยัด ไม่ต้องจ่ายตังค์หรอก พี่รู้จักกับคนขายดี เขาให้ฟรี เธอรีบมาเอานะเดี๋ยวมันจะมีกลิ่น เพราะไม่ได้ไว้ในตู้เย็น เธอเอาไปทอดสด ๆ นะ อร่อยดี" ฟังเธอพูดแล้วรู้สึกแปลกใจและงง ๆ เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีคนเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเรา สั่งเนื้อหมูตั้งเยอะแยะไว้ให้เรากินทั้งครอบครัว ซึ่งบุคคลนี้ไม่ได้สนิทสนมและติดต่อคุ้นเคยอะไรกันมากนัก นานปีทีหนจะได้เจอกัน วันนี้มาแปลก ๆ<br />
<br />
ตามปรกติเราก็จะไม่กินเนื้อสัตว์บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะกินผักและผลไม้ ถ้าจะซื้อเนื้อหมู เราก็ซื้อกินเองได้ ไม่ต้องมีใครมาซื้อให้หรือขอเศษหมูจากโรงงานมาให้ เรามีรายได้และฐานะพอเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อนผู้อื่น แต่เธอผู้นี้ซิ ชอบทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนโดยไม่เลือกหน้า มีชีวิตที่น่าสงสารกว่าใครในแถบนี้ (แถบที่ฉันอยู่) อาภัพมาก ๆ อยู่กับผู้ชายคนไหน ก็ถูกเขาเบียดเบียนทำให้เจ็บกายเจ็บใจมาตลอด บางครั้งไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องไปขอความช่วยเหลือจากทางการ บางครั้งตกงานไม่มีกิน ก็ต้องไปขออาหารจากทางการ เป็นคนไม่มีการศึกษา แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะสะสมสิ่งที่ดี ๆ ขยันสะสมแต่ความโง่อยู่ได้ ทุกวันนี้เธอก็ยังไม่มีงานทำและอยู่คนเดียว<br />
<br />
แต่วันนี้เธอนึกยังไงไม่ทราบ ใจดีอย่างไม่น่าไว้ใจ ฉันได้พยายามคิดที่จะปฏิเสธเธอ ฉันได้บอกเธอว่า "พี่สั่งหมูมาเยอะ ๆ ก็เอาแช่แข็งไว้กินเองนาน ๆ ก็ได้" เธอตอบว่า "พี่ไม่มีตู้แข็ง เธอเอาไปกินกันเถอะ หมูสด ๆ อร่อยดี เนื้อสวย ๆ ขาหมูสวย ๆ อีกหลายก้อน ทำพะโล้กินได้ และยังมีตับหมูสด ๆ ด้วยนะ โอ้โฮ...พูดแล้วน้ำลายไหล แต่พี่ไม่มีที่เก็บ พี่ซื้อกินได้ เธอเอาไปเถอะ" ฉันเบื่อที่จะฟังเธอพรรณา<br />
นาน ๆ ก็เลยบอกตัดบทไปว่า "เด๊๋ยวต้องถามสามีก่อนนะ ว่าจะพาไปไหม" เธอกล่าวต่ออีกว่า "เออ....นี่เธอ...สนใจอยากมีรายได้พิเศษมั้ย มีคนไทยเขาอยากกินปอเปี๊ยะ เขาจะจ้างทำ ให้อันละ ๑ แฟรงค์ รายได้ดีนะ" "ขี้เกียจทำ" ฉันตอบแบบห้วน ๆ เธอหัวเราะ "ฮา ฮา ขี้เกียจทำเหรอ ได้เงินง่าย ๆ ไม่เอาเหรอ" "ไม่อยากทำ ไม่อยากได้ พี่ก็รับทำเองซิ" เธอไม่โต้ตอบ แต่ย้ำว่า "มาเอาหมูไปกินนะ"<br />
<br />
ฉันได้บอกสามีว่า มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่เรารู้จัก (สามีฉันก็รู้จักเธอ) พอเอ่ยชื่อถึงผู้หญิงคนนี้ทีไร เขาจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไร เพราะเธอมีชื่อเสียงทางด้านอิจฉาริษยา ชอบพูดเรื่องไม่เป็นความจริง ทำให้คนอื่นเสียหายและเข้าใจผิด จึงไม่ค่อยมีใครอยากคบกับเธอ สามีฉันปฏิเสธที่จะพาไปรับเนื้อหมู แต่ฉันขอร้องเขาและบอกว่าได้รับปากกับเธอไว้แล้ว...... เป็นอันว่าเราตกลงไปรับเนื้อหมู พอเข้าไปในบ้าน เธอก็รีบเอาถุงที่บรรจุไว้เรียบร้อยแล้ว ยกมาวางไว้ให้ที่โต๊ะ แล้วบอกว่าให้ฉันเปิดดูก่อนที่จะเอาไป แต่ฉันก็เชื่อใจเธอ คงจะเป็นของดีจริงอย่างที่เธอพูด<br />
<br />
พอถึงบ้าน ฉันก็รีบเปิดห่อดูว่ามีอะไรบ้าง เปิดด้วยความดีใจและตื่นเต้น พอเปิดดูก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ . เนื้อหมูที่ว่าสวย ๆ เป็นกระดูกหมูอ่อน ซึ่งเธอย้ำนักหนา ว่าให้เอามาทอดกินสด ๆ อร่อยดีนั้นน่ะ มันเป็นเศษหมูที่เขาแล่เอาเนื้อออกจนเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่กระดูกอ่อนเท่านั้น บ้างก็เป็นชิ้นกระดูกที่มีแต่พังผืดติดเป็นแผ่นซี่โครงยาว เธอให้มาราว ๆ ๔ กิโล ส่วนขาหมูนั้น เธอบอกว่าทำพะโล้อร่อยดี ขาสวย ๆ ทั้งนั้น ตอนที่ยังไม่เห็น แค่ได้ยินเท่านั้น บุพเจตนามันเกิดซะแล้ว คิดไปว่าจะเอาเนื้อหมูนี้แกงเขียวหวาน และจะเอาขาหมูทำพะโล้ไปถวายพระ เพราะว่าเธอได้เชิญพวกเราไปร่วมทำบุญ ๑๐๐ วัน ให้สามีเธอที่เพิ่งเสียชีวิต ....... พอเห็นขาหมูแล้ว ตกใจกลัว เพราะเป็นขาหน้าแข้งยาวเป็นคืบ มีแต่ขน ไม่สามารถจะทำอะไรกินได้เลย ส่วนตับที่ว่าสด ๆ นั้น ก็สดจริง ๆ สดประเภทเลือดอาบชุ่มเลยล่ะ เกิดมาก็ไม่เคยเห็นตับหมูสด ๆ และใหญโตมาก ๆ เช่นนี้ ฉันเองยกไม่ขึ้นหรอก เพราะหนักมาก เขาให้มาตั้ง ๒ คู่ ได้พิจารณาทุกอย่างแล้ว ไม่สามารถที่จะรับประทานส่วนไหนได้เลย ในที่สุดก็ต้องรีบห่อใส่ถุง แล้วทิ้งลงถุงขยะอย่างรวดเร็ว<br />
<br />
หลังจากนั้นประมาณสักครู่ใหญ่ ๆ ฉันก็ได้มาทบทวนดูอีกครั้ง ว่าของที่คนเขาให้ทานมาด้วยความตั้งใจดี เราจะเอาไปทิ้งเลย มันก็ไม่ถูกต้องนัก ว่าแล้วก็รีบไปหอบเอาถุงขยะ ที่เตรียมทิ้งอยู่นอกบ้าน นำมาค้นเอาเฉพาะแต่ขาหมู เอามาพิจารณาดูอีกครั้ง เผื่อว่าจะมีโอกาสได้ลิ้มรสพะโล้ขาหมูเอร็ดอร่อยบ้าง จึงได้สรรหามีดที่คมที่สุด ชนิดว่าใหม่เอี่ยมยังไม่ถูกใช้เลยนะ แล้วจากนั้นก็จัดการหาเนื้อเถือหนังเป็นการใหญ่ เถือจนอ่อนใจก็ไม่เจอเนื้อ เจอแต่กระดูกเพียว ๆ แต่ใช่ว่าจะหยุดความเพียรเพียงแค่นั้นน่ะ จิตยังคิดต่อไปอีกว่า จะทำอย่างไรดี เพื่อให้ของทานชิ้นนี้มีเป็นประโยชน์ จึงคิดว่าจะเอาหนังหมูไปทำส่วนประกอบลาบ ก็หันมาพิจารณาหนังหมู..... ปรากกฏว่าหนังหมูก็เต็มไปด้วยขนแข็งและไขมัน หาประโยชน์มิได้เลย ในที่สุดต้องลงถุงขญะอีกครั้ง......ผลจากการที่ได้รับทานครั้งนี้ ฉันต้องหลังเคล็ดเพราะยกถุงขยะหนัก ๆ ถึงสองครั้ง แค่ครั้งเดียวก็เล่นเอาแย่แล้ว นี่ก็เข้าตำราที่ว่า "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมเอากระดูกมาแขวนคอ"<br />
<br />
คนอย่างนี้ก็มีด้วย อยู่ ๆ คิดเมตตาคนอื่น ไปขอเศษเนื้อจากโรงงานมาให้คนอื่นกิน แถมยังบอกอีกว่า<br />
"ถ้าพี่จะกินเนื้อหมู พี่ก็ซื้อกินเองได้" ดูซิ...เธอพูดยังกะว่า คนอื่นไม่มีเงินพอที่จะซื้อกินเองได้ แต่ฉันก็คิดในแง่ดีว่า เธอคงคิดจะตอบแทนน้ำใจ ที่ฉันและสามีได้ไปร่วมงานเผาศพสามีของเธอที่เสียชีวิตไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ และเธอยังเชิญพวกเราไปร่วมทำบุญ ๑๐๐ วันอีก เฮ้อ....งานบุญครั้งนี้ ฉันคิดว่าคงจะต้องหลบเอาตัวรอดก่อนล่ะ เพราะเหตุว่ากลัวจะโดนเธอถามเรื่องหมูและกลัวมาก ๆ กลัวว่าจะได้หมูมาทิ้งอีก และอีกอย่างหนึ่ง จริง ๆ แล้วฉันเองเป็นคนไม่ชอบปฏิเสธเรื่องบุญทาน แต่คราวนี้มันจำเป็นจริง ๆ ต้องขอหลบบุญ เพราะว่าเธอได้บอกไว้แล้วว่า ถ้าพวกฉันไปทำบุญ ก็จะได้เนื้อหมูอีกครั้ง โอย....ไม่ไหวแล้ว ขออย่าเจออีกเลยเจ้าข้า !!<br />
<br />
การให้ทานที่จะมีอานิสงส์นั้น จะต้องประกอบด้วยความตั้งใจดี (กุศลเจตนา) ของที่ให้ต้องเป็นของที่ดี<br />
เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ใช่ว่าสักแต่ให้ไปพ้น ๆ ตัวหรือพ้น ๆ บ้าน ขณะที่ให้ทานจิตเป็นกุศล หลังจากให้ทานแล้ว เมื่อนึกถึงทานที่ได้กระทำแล้วเกิดปีติ..... กุศลย่อมมีผลเป็นกุศล นำมาซึ่งความสุขใจ อกุศลมีผลเป็นอกุศลนำมาซึ่งความทุกข์ใจ แล้วจะเลือกกระทำอย่างไหนดี ก็แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคน....อย่าลืมนะคะ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ.....ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงและพิสูจน์ได้ทุกขณะ<br />
<br />
.เรื่องนี้อ่านแล้วได้ข้อคิดมั้ยคะ นี่ก็เป็นเรื่องอกุศลวิบากของฉันเองด้วย เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้วิบากเกิดก็ต้องเกิด เช้าวันนั้นมีอกุศลวิบากหมดเลย เช่น วิบากทางตา ทางหู ทางกาย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป.....แต่สำหรับเธอผู้ให้ทานนั้น ถ้ากระทำด้วยอกุศลเจตนา และถ้าเป็นอกุศลกรรมบถครบองค์ ก็ย่อมจะเป็นกรรมที่ส่งผลได้<br />
<br />
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีคือ ก่อนที่จะมีการทำทาน ต้องมีเจตนาดี แล้วก็ควรที่จะพิจารณาวัตถุที่จะให้ทานด้วยว่า มีประโยชน์ต่อผู้รับหรือไม่ สมควรแก่ผู้รับหรือไม่ ให้เพื่ออะไร ทำไมต้องให้ ใช่ว่านึกอยากจะได้อานิสงส์จากทานมาก ๆ เพราะรู้ว่าอานิสงส์จากทาน จะทำให้เป็นผู้มีกินไม่อด มีความเป็นอยู่ดี จะได้ผลดีหรือไม่ก็อยู่ที่การทำเหตุ....... เหตุกับผลต้องตรงกัน ธรรมะเป็นเรื่องตรง เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาให้ดี ๆ ก่อน จะได้มีอานิสงส์ที่ดีด้วย......สำหรับเรื่องนี้ ฉันก็ต้องขอขอบคุณเธอผู้มีเมตตาจิต ให้เนื้อหมูเป็นทานแก่ฉันและครอบครัวด้วย ถึงแม้จะไม่ได้กิน แต่ก็มีประโยชน์มากทีเดียว เพราะว่าทำให้ฉันได้มีเรื่องราวมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันสนุก ๆ และได้คติข้อคิดเกี่ยวกับการให้ทานด้วย.....ก็ขอยุติเพียงแค่นี่จ๊ะ แล้วพบกันอีกนะคะ<br />
<br />
.......................................................<br />
<br />
<br />
</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-55695542751575206062012-08-20T07:27:00.003-07:002012-08-20T08:46:45.612-07:00กรรมของป้าติ่ง (ตอนที่ ๒)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน<br />
<br />
หลายสัปดาห์แล้วที่ไม่ได้เขียนบทความใหม่ ๆ แต่ก็ไม่นานจนเกินรอจ๊ะ ยังไง ๆ ก็ขอท่านผู้อ่านอดทนรอหน่อยนะคะ เรื่องราวที่จะเล่ามีเยอะแยะ แต่ฉันก็ต้องบริหารเวลาของฉันให้ถูกต้องด้วย ขืนมานั่งเสนออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ คนรอบข้างจะเป็นโรคเหงากันหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งปันเวลาให้ทั่วถึงกัน จะได้มีความสุขสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย.......วันนี้ก็มีเรื่องใหม่แต่เจ้าเก่าจ๊ะ<br />
<br />
ฉันคิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักป้าติ่งจากบทความเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่อง "กรรมของป้าติ่ง" วันนี้ก็มีเรื่องกรรมของป้าติ่งอีก แต่เป็นคนละสาระ....เพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ฉันจะไม่ขอเกริ่นไตเติลน่ะ เข้าสู่เนื้อเรื่องเลยล่ะง่ายดีเน๊าะ ......ป้าติ่งเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง เธอเป็นคนช่างเจรจาหาเรื่องได้ทุกรูปแบบ ส่วนใหญ่แล้วจะชอบพูดยกตนแล้วข่มผู้อื่น จึงไม่ค่อยมีใครอยากพูดด้วย แต่เธอก็เป็นคนมีเสน่ห์มาก ในหมู่ผู้ชาย สมัยอยู่ที่เมืองไทย มีหนุ่มมาติดเยอะแยะไปหมด เธอไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมากนัก เรียนจบแค่ ป.๔ แต่ก็มีความฉลาดพอตัว หลังจากออกจากดรงเรียนแล้ว ก็ไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ไปช่วยเขาเลี้ยงเด็ก พอเข้าวัยรุ่นก็หนีออกจากบ้านญาติไปมีสามี มีลูกด้วยกัน ๑ คน สามีเป็นตำรวจ เป็นคนเจ้าชู้ ขณะที่เธอกำลังท้องแก่ใกล้จะคลอด สามีก็มีผู้หญิงใหม่ จึงไล่เธอออกจากบ้าน แล้วเอาผู้หญิงคนใหม่มาอยู่แทน <br />
<br />
เธอพบกับความผิดหวังอย่างแรง ไม่มีสิทธิอะไรในตัวสามีเพราะไม่ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง สามีได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งเด็กกว่าเธอมาก ป้าติ่งต้องหอบท้องกลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ของเธอที่บ้านนอก พอคลอดเสร็จก็มีแฟนใหม่อีกอย่างรวดเร็ว คราวนี้เธอคิดว่า โชคดีที่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย สามีคนที่ ๒ ก็เป็นตำรวจเช่นกันกับคนแรก เริ่มแรกที่อยู่ด้วยกัน เธอบอกว่าชีวิตรักใหม่ราบรื่นดี สามีรักเธอมาก เอาอกเอาใจดีสม่ำเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ความรักก็มิได้อยู่เหนือวิบากกรรม เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว วิบากกรรมของเธอก็ส่งผล ทำให้เธอต้องประสบกับความชีช้ำระกำใจอีกครั้งหนึ่งจนได้......ขณะกำลังท้องอ่อน ๆ สามีเริ่มนอกใจ เธอก็เลยนอกใจเหมือนกัน ถ้าสามีไม่กลับบ้านตรงเวลา เธอก็จะออกเที่ยวคลับกับเพื่อน จนในเวลาต่อมาเธอได้รู้จักฝรั่งชาวสวิสคนหนึ่ง เกิดความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจหนีตามหนุ่มสวิส ไปทดลองอยู่ด้วยกันก่อน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ๓ เดือน หลังจากหมดวีซ่า เธอก็กลับเมืองไทยเพื่อมาขอหย่ากับสามี สามีก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังท้อง<br />
<br />
ส่วนหนุ่มสวิสก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสาวติ่งกำลังตั้งท้องอ่อน ๆ เขาหลงใหลเสน่ห์ป้าติ่ง ก็รีบตกลงแต่งงานกับเธออย่างถูกต้องตามกฏหมาย เธอเล่าว่า ชีวิตแต่งงานกับคนสวิสตอน ๔ ปีแรก ก็มีความสุขดี เพราะเธอทำหน้าที่แม่บ้านที่ดี สามีก็รักเอาอกเอาใจดี ชี้อะไรก็เป็นอันนั้นไม่มีขัด แถมยังเมตตารับลูกชายคนแรกของเธอเป็นลูกบุญธรรม ส่วนลูกคนที่สองก็คลอดตามกำหนด เป็นเด็กผู้ชายมีหน้าตาและผิวพรรณขาวเหมือนฝรั่ง เพราะพ่อเขาเป็นคนผิวขาวและหน้าตาดี ส่วนสามีฝรั่งก็เข้าใจว่าเด็กเกิดก่อนกำหนด<br />
<br />
ชีวิตของป้าติ่งชอบเจออะไรที่ซ้ำ ๆ อยู่เสมอ พอลูกชายทั้งสองโตเข้าโรงเรียนประถม ป้าติ่งก็ไม่ค่อยมีภาระหน้าที่การงานในบ้าน วัน ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ส่วนสามีฝรั่งก็ชอบไปเล่นกีฬาในตอนเย็นหลังเลิกงาน (อาชีพช่างซ่อมเครื่องพิมพ์ดีด) ป้าติ่งก็ออกเที่ยวกับเพื่อนชายซึ่งเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเป็นชาวอิตาเลี่ยน มีคู่หมั่นแล้ว ในที่สุดสามีของป้าติ่งจับได้ ป้าแกก็เลยเลิกออกเที่ยว แต่สามีของป้ากลับเปลี่ยนไป ป้ารู้ว่าสามีไม่เหมือนเมื่อก่อน ป้าแอบตามสอดแนมเมื่อสามีไปเล่นกีฬา ป้าบอกว่าเสียใจมากเลย ที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วสามีไม่ได้ไปเล่นกีฬาอย่างว่าหรอก ไปมีนัดกับผู้หญิงอื่น พอป้ารู้ว่าเขาเริ่มนอกใจ ป้าก็ออกเที่ยวกับหนุ่มอิตาเลี่ยนอีก ก็เป็นอันว่าต่างคนต่างนอกใจ<br />
<br />
ในที่สุดเวลาแห่งความซวยของป้าติ่งก็มาถึงอีกครั้งหนึ่งจนได้ ป้าบอกว่า ซวยหนักอย่างช่วยไม่ได้เลย สามีฝรั่งสงสัย ว่าลูกชายคนเล็กไม่ใช่สายเลือดของเขา จึงได้มีการตรวจเลือดกัน ผลปรากฏว่าป้าติ่งแพ้ยับเยิน เธอโกหกสามีมาตลอด เลยถูกฟ้องหย่า อยู่กันมาร่วม ๒๐ ปีไม่ได้ค่าเลี้ยงดูเลย เพราะผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง....ป้าติ่งมักจะเจอวิบากกรรมเล่นงานซ้ำ ๆ อยู่เสมอ อยู่กับสามีแต่ละคนก็โดนสามีทำร้ายร่างกายบ่อย ๆ เพราะว่าปากไม่สงบ มือก็ไม่สำรวม เวลามีเรื่องขัดแย้งกัน ป้าติ่งก็มักจะเป็นฝ่ายทำเขาเจ็บก่อน บางครั้งก็ขว้างมีด ขว้างไม้ อะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ ๆ มือ ถ้าป้าแกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ของ<br />
ใกล้ ๆ มือลอยไปไม่รู้ตัวได้ แล้วป้าแกก็ต้องเจ็บอย่างไม่มีทางเลี่ยง บางครั้งโดนสามีบิดแขนจนกระดูกหัก ต้องเข้าเฝือกเป็นเดือน บางครั้งก็โดนหมัดจนหน้าตาบูดเบี้ยวเขียวช้ำ แถมยังความคิดความจำเบลอหมด<br />
<br />
ป้าติ่งเป็นคนคุยหรือพูดอะไร ๆ ที่ทำให้คนฟังแล้วสบายใจไม่เป็น ใครฟังป้าติ่งพูดแล้วจะรู้สึกเครียด บางครั้งป้าติ่งก็โดนผู้หญิงไทยด้วยกัน ตบตีกลางตลาด บางรายแค้นจัด ถึงกับไปตบตีในบ้าน ป้าแกโดนคนเล่นงานบ่อย ๆ เพราะปากเป็นเหตุ ปากของป้าติ่งสร้างแต่อกุศลกรรม เลยทำให้เป็นคนอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำงานที่ไหนก้ไม่นาน ต้องโดนไล่ออก หาความเจริญไม่ได้เลย นอกจากนั้นยังหาเพื่อนไม่ได้ ที่คบอยู่ก็ไม่ต่างกันกับแก คือเป็นคนมีวิบากหนัก ๆ พอกัน<br />
<br />
หลังจากหย่ากับสามีฝรั่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็มีแฟนใหม่อย่างรวดเร็ว เป็นหนุ่มสวิสรูปร่างหน้าตาดี มีอาชีพขับรถบรรทุกสินค้า ส่งต่างประเทศในแถบยุโรป ตอนแรก ๆ ก็ดูเหมือนรักกันดี ไปไหนไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง ป้าติ่งก็มีงานทำไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตกงานอยู่บ่อย ๆ ส่วนแฟนก็เหมือนกัน ทำงานแต่ละแห่งไม่นานก็ถูกไล่ออก เมื่อต่างคนต่างไม่มีรายได้ประจำเดิอน เลยเครียดกันใหญ่ ต่างคนต่างเกี่ยงกันจ่าย ทั้งสองคนสูบบุหรีเก่งมาก อดอาหารได้แต่อดบุหรีไม่ได้ ขืนอดบุหรี่ต้องฆ่ากันตายแน่ ๆ พอต่างคนต่างเครียด ก็เริ่มมีการตบตีกันจนถึงขั้นสาหัส หน้าตาปูดบวม ฟันหัก ปากเบี้ยว ดูไม่ได้เลย..... ป้าติ่งเล่าว่า เธอเป็นคนเริ่มทำเขาเจ็บก่อนทุกครั้ง เขาก็เลยต้องป้องกันตัว ในที่สุดก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ ถึงกระนั้นก็ยังรักกันเหมือนเดิม<br />
<br />
มีอยู่ครั้งหนึ่งทะเลาะกันอย่างรุนแรง นายรูดี้ (ชื่อสมมุติ) แฟนป้าติ่งโกรธจัด ถึงกับจะฆ่าป้าติ่งให้ตาย ป้าแกกลัวตาย ก็เลยวิ่งออกจากบ้านไปแจ้งตำรวจ ๆ ก็มาสอบถามชาวบ้าน ๆ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน บ่อย ๆ ก็ให้การตามความเป็นความจริง นายรูดี้ก็เลยถูกเชิญไปนอนในห้องขัง ๑ คืน วันรุ่งขึ้นทางตำรวจก็ออกคำสั่งเป็นทางการว่า ให้ป้าติ่งกับลุงรูดี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาด ถ้าไม่แยกกันอยู่ ทางเจ้าของบ้านเขาไม่ให้เช่าต่อไป เพราะชาวบ้านเขารำคาญเสียงทะเลาะกันบ่อย ๆ แม้ว่าจะทะเลาะกัน ตีกันบ่อย ๆ แต่ทั้งคู่ก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไปอีก คงยังมีวิบากกรรมร่วมกันอยู่มั้ง ! ทั้งสองคนตกลงย้ายที่อยู่ใหม่ แต่เขาจะไปเช่าบ้านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีประวัติไม่ดี ไม่มีใครเขาไว้วางใจ ทางอำเภอเลยอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่ในโกดังเก่า ๆ ของทางอำเภอ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บของที่เขาไม่ใช้แล้ว ป้าแกบอกว่า ที่อยู่ใหม่นี้ ถึงจะให้อยู่ฟรี ๆ ก็ไม่อยากอยู่ แต่ก็ไม่อยากไปเช่าบ้านอยู่คนเดียว เพราะสงสารลุงแก <br />
<br />
ป้าเล่าว่า ที่อยู่ใหม่นี้เหมือนยังกะสถานที่เก็บศพ เพราะมีแต่ของเก่าแก่ที่ใช้ไม่ได้ เขาเอาไปทิ้งไว้นานแล้ว ที่แย่มาก ๆ คือ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ไฟตะเกียง หรือเทียนไข ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่น พอฤดูหนาวก็ต้องไปอยู่ตามร้านอาหาร หรือตามศูนย์การค้า น่าสงสารจัง ! ป้าติ่งเป็นคนอดทนเก่ง แต่ลุงรูดี้แกไม่อดทนด้วย อยู่ไม่นานถึงเดือน แกก็หนีไปมีแฟนใหม่ แกไม่มีเงินติดตัว ก็แอบไปขโมยเครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวของป้าติ่งไปขาย เที่ยวขโมยอยู่บ่อย ๆ เพราะบ้านไม่มีกุญแจปิด บางทีก็เอามาคืน ซ่อนไว้ในถังข้าวสาร ป้าติ่งก็แจ้งตำรวจตามจับตัว ลุงแกก็หนีหลบซ่อนเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดป้าติ่งพบตัวโดยบังเอิญ ก็แอบไปชวนลุงกลับไปอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นป้าติ่งมีงานทำใหม่ ก็เลยมีสิทธิเช่าบ้านได้เพราะอยู่คนเดียว<br />
<br />
ความที่ทั้งคู่ก็ยังรักและสงสารกันอยู่ เลยตกลงกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ลุงรูดี้แกป่วยหนัก เพราะติดยาเสพติดมาเป็นเวลานาน มักอารมณ์เสียและโมโหร้ายอยู่เสมอ เพราะว่าลงแดง ป้าติ่งเอาลุงมาเลี้ยงดูแลเหมือนลูก แต่ก็ไม่วายที่จะต้องทะเลาะทุบตีกันเหมือนสัตว์ป่า ลูกของป้าติ่งไม่สนใจเลยว่า แม่จะอยู่อย่างไร เพราะไม่ชอบแฟนของแม่ ป้าติ่งก็ไม่อยากอยู่คนเดียว ถึงจะอยู่กันอย่างทุกข์ไม่ส่างเลยแกทนได้ จนในที่สุดเมื่อ ๕ เดือนที่ผ่านมานี้ เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ป้าติ่งจะโดนลุงฆ่าด้วยมีด แกเลยโทรแจ้งตำรวจให้มาจัดการลุงโดยเร็ว เพราะป้าแกทนไม่ไหวแล้ว ตำรวจมาด่วนเลย พอมาถึงก็ไม่พูดอะไรมาก พูดสั้น ๆ ว่า "จบกันที ต่อไปนี้เธอไม่ต้องโทรอีกแล้ว" ตำรวจคงจะเบื่อการโทรของป้าติ่ง เพราะโทรทีไรก็เรื่องทะเลาะกันทุกที ไม่เคยมีเรื่องอื่น ตำรวจจับนายรูดี้ส่งเข้ารักษาตัวที่บ้านคนชรา นับตั้งแต่นั้นมาลุงรูดี้ก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า เพราะขาดความเป็นอิสระ เขาอนุญาตให้ป้าติ่งไปรับรูดี้ออกนอกสถานที่ได้วันละ ๓ ชั่วโมง......<br />
<br />
ในสัปดาห์แรก ตอนบ่าย ๒ โมง ป้าแกก็จะไปรับลุง ไปอาบน้ำและกินข้าวที่บ้าน เสร็จแล้วตอนเย็นก็เอาไปส่งขึ้นเตียงนอน...... หลังจากนั้นมา ก็มีสิทธิไปเยี่ยมได้เพียงสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น ห้ามออกนอกสถานที่ อาการซึมเศร้าของลุงรูดี้เริ่มหนักขึ้น ๆ ทุกวันจนกลางเป็นโรคประสาท ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน โรคอัลไซเมอรฺปรากฏ เวลาลุงออกไปเดินนอกห้องก็จะกลับห้องไม่ถูก แกก็เที่ยวไปเปิดดูห้องโน้นห้องนี่ สร้างความตกอกตกใจให้แก่เจ้าของห้องตาม ๆ กัน อาการหลงลืมหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว และหมอได้ให้ยาระงับประสาทแรงเกินขนาด ทำให้ลุงรูดี้มีอาการเหมือนคนบ้าคลั่งอยู่บ่อย ๆ บางครั้งแกจำคนรอบข้างไม่ได้ แม้แต่ป้าติ่งเอง ลุงแกก็ยังจำได้เป็นพัก ๆ อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องถูกมัดไว้บนเตียงนอน ลุกไปไหนไม่ได้ โดนผูกมัดแขนขาติดกับเตียง ๆ ถูกล้อมคอกเหล็กอย่างแข็งแรงเพื่อไม่ให้ปีนออกได้ ลุกนั่งก็ไม่ถนัดเพราะถูกตรึงไว้แน่น จนกระทั่งสันหลังค่อมลง<br />
<br />
ป้าติ่งเล่าว่า เห็นสภาพของลุงแล้วแสนสงสาร อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ครั้งหลังสุดที่ป้าติ่งเห็นลุงรูดี้ ป้ารู้สึกเศร้าใจมาก คิดอยากจะเอาลุงออกจากบ้านคนชรา เอาไปปรนนิบัติเองเผื่อว่าจะหายได้ พอไปติดต่อกับผู้อำนวยการแล้ว เขาไม่ยอมอนุญาตให้เอากลับบ้าน เพราะเหตุว่าทางบ้านคนชราเขามีรายได้จากทางอำเภอ ซึ่งทางอำเภอจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่มีญาติ ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ใช้บริการของบ้านคนชราที่สวิตเซอร์แลนด์แพงมาก<br />
<br />
ลุงรูดี้ได้อยู่ที่สถานที่คนชราเป็นเวลา ๕ เดือนเต็ม ๆ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฏาคมที่ผ่านมานี้ เขาได้สิ้นลมหายใจเสียแล้ว โดยไม่ได้ร่ำลาแม้กระทั่งป้าติ่งคนที่เขารัก ไม่มีใครรู้ว่าลุงจากโลกนี้ไปแต่เมื่อไร ป้าแกก็มัวแต่ไปทำงาน ไม่มีสังหรณ์อะไรเกิดกับป้าติ่งเลย ตอนสายของวันนั้น เจ้าหน้าที่ของทางสถานที่คนชรา ได้เข้าไปพบศพของลุงรูดี้ จึงได้โทรแจ้งให้ป้าติ่งทราบ ป้าแกก็รีบไปดู แกไม่รู้จะพูดกับใคร ก็เลยโทรบอกฉันว่า "....ลุงรู้ดี้จากพวกเราไปแล้วนะ" พูดจบ เธอก็ร้องไห้บ่นพร้ำเพ้อไปตามประสาคนกำลังเสียใจนั่นแหละ......ฉันก็ได้แสดงความเสียใจกับเธอ แล้วก็บอกว่า ฉันจะสวดมนต์และเจริญสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้ลุงด้วย รู้สึกเธอพอใจ และฉันได้บอกกับเธออีกว่า ถ้ามีอะไรจะให้ช่วย ก็ให้บอกได้เลย เธอขอให้ฉันและสามีไปร่วมงานเผาศพด้วย ฉันก็รับปากเพราะคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง<br />
<br />
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปเห็นวิธีการเผาศพของเมืองนอก เขาทำพิธีง่าย ๆ พอถึงเวลาตามที่กำหนดไว้ เจ้าหน้าที่ก็จะเคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่หน้าเตาไฟ...... พระสงฆ์ไทย ๒ รูป สวดอภิธรรมแล้วทำพิธีบังสุกุล พอเสร็จพิธีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพและแขกที่มาร่วมงาน นำดอกกุหลาบ (ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้) ไปวางไว้บนหลังโลงศพ ความหมายก็คงจะเป็นการอำลาผู้ตายมั้ง ! จากนั้นก็จะเป็นนาทีระทึกใจและเศร้าใจอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้เป็นเจ้าภาพ......เตาไฟฟ้าก็จะค่อย ๆ เปิดโดยอัตโนมัติ เห็นไฟแดงจ้าในเตาสว่างมากเลย เปลวไฟแผ่กระจายสัมผัสผิวกายร้อนตาม ๆ กัน โลงศพถูกยกขึ้นเหนือพื้นให้ได้ความสูงระดับเดียวกับประตูของเตาไฟ โดยเครื่องยกอัตโนมัติ แล้วเลื่อนไปตามรางเข้าสู่เตาไฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นเตาไฟก็ถูกปิด เป็นเสร็จพิธี<br />
<br />
การได้มีโอกาสได้ไปงานศพก็ถือว่าโชคดี เพราะว่างานเช่นนี้มีไม่บ่อยนักในกลุ่มคนไทยในต่างแดน และได้เห็นได้รู้ว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ เราก็จะมีสภาพไม่ต่างกันเลย ร่างที่หมดลมหายใจใคร ๆ ก็พากันรังเกียจ ไม่อยากเห็นไม่อยากดู แล้วตอนที่มีชีวิตอยู่ เราจะเกลียดชังกันไปทำไม จะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญเสียดายเวลาที่ตอนอยู่ด้วยกัน ไม่ทำดีต่อกัน........ ป้าติ่งแกก็ได้สำนึกในความผิดของตน ที่ปากเสียเสมอ เอะอะก็โทรเรียกตำรวจ ในที่สุดแกสารภาพจากใจจริงว่า ตนเองเป็นคนส่งลุงรูดี้ไปสู่ความตายเร็วขึ้น....... ฉันก็ได้อธิบายเพื่อให้ป้าแกเข้าใจว่า ที่จริงแล้วตามหลักธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นดังตนปรารถนาได้" เพราะฉะนั้น การตายของลุงรูดี้ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดผิดเลย เมื่อป้าติ่งได้ฟังดังนั้น ก็พอจะคลายความคิดโทษตนเองลงได้บ้าง คนเราทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ถ้าไม่คิดปรุงแต่งให้ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ แต่จะทำได้เช่นนั้นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ<br />
เพื่อเป็นปัญญาขั้นต้นเสียก่อน.....เรื่องกรรมของป้าติ่งก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ<br />
<br />
<br />
ขออุทิศส่วนกุศลจากการเผยแพร่บทความนี้ ให้แก่สามีของป้าติ่ง ที่เสียชีวิตเมื่อ ๒๖ ก.ค.๒๕๕๕<br />
และขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ <br />
<br />
<br />
................................................</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-27640372363517684652012-07-17T06:28:00.001-07:002013-04-09T13:08:52.280-07:00กรรมของผู้หญิงชื่อน้อย<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน<br />
<br />
ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกนี้ ท่านไม่มีการติชมกันอย่างเปิดเผย ก็ไม่เป็นไรจ๊ะ แต่ฉันก็ได้กำลังใจจากท่านผู้อ่านมากทีเดียว ทำให้ต้องขยันส่งบทความบ่อย ๆ ถึงแม้ว่าบางครั้งได้หายเงียบไป แต่ก็ไม่นานเกินรอ.....<br />
<br />
วันนี้ฉันได้ขึ้นชื่อเรื่องไว้ว่า "กรรมของผู้หญิงชื่อน้อย" ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเป็นเรื่องไม่เหมือนใคร ไม่รู้น่ะ....ท่านอ่านกันแล้วอาจจะว่าไม่น่าสน เราก็ไม่ว่ากัน เพราะเหตุว่าแต่ละคนมีจิตที่วิจิตรแตกต่างกันตามการสะสมของตน.....ชีวิตคนเราวันหนึ่ง ๆ ไม่พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสบ้าง เป็นทาสของความคิดบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นจึงหนีไม่พ้นความทุกข์....ทุกข์กายยังรักษาได้ด้วยหยูกยา แต่ความทุกข์ใจนี่ซิ ยากแก่การเยียวยารักษา ไม่มีหมอที่ไหนช่วยรักษาหรือผ่าตัดให้ได้ นอกจากต้องเป็นหมอเอง ก่อนที่จะสามารถรักษาโรคจิตของตนได้นั้น ก็ต้องร่ำเรียนมากทีเดียว จนสามารถรู้วิธีใช้เภสัชขนานต่าง ๆ ได้ถูกต้องกับโรค.....โรคทางใจบางอย่างดื้อยา จนกลายเป็นชนิดเรื้อรังก็มี.... ใจหรือจิตนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าใจสร้างกรรมก็ทำให้เป็นโรคกรรม แต่ตัวกรรมจริง ๆ นั้นอยู่ที่ "เจตนา" เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต หมายถึงความจงใจ ตั้งใจ กระทำกรรมต่าง ๆ และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏให้ได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามเหตุที่ได้กระทำไว้<br />
<br />
ผู้หญิงชื่อน้อยก็เป็นคนหนึ่ง ที่กำลังเสวยกรรมอย่างแสนสาหัส หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น "โรคกรรมชนิดเรื้อรัง" ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะหายเป็นปรกติได้...... ฉันรู้จักน้อยร่วม ๑๕ ปีแล้ว เธอแต่งงานกับชาวสวิส สามีเป็นข้าราชการ ส่วนตัวเธอเป็นแม่บ้าน ไม่ต้องทำงานไม่ต้องเรียนอะไรทั้งนั้น เพราะสามีมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูเธอให้อยู่อย่างสุขสบายได้ เธอจึงไม่ต้องลำบากขนขวายอะไรทั้งนั้น สามีพูดไทยเก่ง เธอก็เลยสบายไป ไม่ต้องเรียนภาษาเยอรมันให้ยุ่งยากลำบากใจ ชีวิตเธอเหมือนฝัน เช้าตื่นสายแต่งตัวสวย พอบ่าย ๆ หล่อนก็ออกเที่ยว สามีกลับบ้านบางวันไม่เจอที่บ้าน ก็จะไปเจอกันที่ร้านอาหารหรือไม่ก็ที่บาร์ สามีก็เป็นคนชอบสำราญพอ ๆ กัน ปรกติก็ไม่ค่อยทำอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว จะทำเฉพาะงานชั่วคราวเท่านั้น จะได้มีเวลาเสพสุข ตอนหลังเศรษฐกิจตกต่ำและอายุก็เริ่มมากขึ้น จึงได้ทำงานเป็นหลักแหล่ง <br />
<br />
น้อยและสามีได้ประสบเคราะห์กรรมหนักแบบสุด ๆ พร้อมกัน สามีของเธอเคยชวนฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะตายด้วย เลยต้องทนทุกข์ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ สามีเป็นโรคหัวใจผิดปรกติเสื่อมสมรรถภาพ ต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง ส่วนน้อยก็เจออะไรที่ไม่ธรรมดา ๆ คงเป็นเพราะว่า เธอเคยพูดเสมอว่า ชีวิตของเธอจะไม่มีวันตกต่ำเป็นเด็ดขาด เธอสามามารถจัดการชีวิตตนเองได้ตามที่ปรารถนา ในที่สุดเธอก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่มีใครสามารถจัดการชีวิตให้เป็นไปตามปรารถนาได้....ชีวิตเป็นไปตามกรรม ใครจะมาเก่งหรือใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ <br />
<br />
เธอและสามีไม่เคยสนใจเรื่องศีล ทาน สมาธิเลย สนใจอย่างเดียวคือเรื่องอบายมุข มาบัดนี้น้อยคนสวยได้กลายเป็นคนที่มีจิตวิปลาสไปเสียแล้ว เธอได้เล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว เธอกับสามีได้ไปเที่ยวเมืองไทย ไปเที่ยวแถว ๆ ภาคอีสาน จังหวัดอะไรฉันก็จำไม่แม่น เธอได้คิดลบหลู่และคิดสับปะดนลามกต่อรูปบูชาในสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากกลับถึงบ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ เธอได้มีความรู้สึกทางจิตผิดปรกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชอบคิดลามกเกี่ยวกับการร่วมเพศกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ไม่สมควร เช่น เกี่ยวกับพระสงฆ์ หรือเกี่ยวกับบุคคลระดับดัง ๆ ระดับใหญ่ ๆ ไม่เพียงแต่คิดเท่านั้น ยังมีการกระทำแบบลับ ๆ ด้วยตนเอง มีพฤติกรรมที่น่าอดสูเช่นนี้บ่อย ๆ และจิตคิดตลอดเวลาจนทำให้เจ้าตัวกินไม่ได้นอนไม่หลับ หน้าดำคร่ำเครียด ตัวซีดเซียวเหมือนโดนผีสิง เห็นแล้วตกใจไปทำอะไรมา เมื่อก่อนเห็นสวย ๆ มีมาดดี มาตอนนี้เหมือนผีตายซาก เพื่อน ๆ เห็นเธอแล้ว ตกใจต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "น่าสงสาร" มาก ๆ เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นคนเด่นในพวกขี้เหล้าเมายา เป็นที่่รู้จักในกลุ่มคนไทยที่ชอบเที่ยว<br />
<br />
จากอาการเริ่มแรกยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก ว่าตนเองป่วยทางจิต เธอก็ยังประพฤติตนเช่นเดิม แต่เพิ่มการดื่ม การดูดบุหรี่มากขึ้น เพื่อจะลบล้างความคิดวิปลาสที่ครอบงำอยู่บ่อย ๆ นับวันแต่จะหนักขึ้น ๆ เพราะความคิดลามกสับปะดนเล่นงานไม่มีการพัก เลยเธอต้องกลายเป็นคนขี้เมาโดยสมบูรณ์ พอส่างเมาก็เติมต่อเรื่อย ๆ ในที่สุดออกบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีแรง ไม่กล้าไปตามบ้านเพื่อนหรือร้านอาหารไทย ๆ เพราะว่าตามสถานที่เหล่านี้ จะมีพระพุทธรูปไว้บูชา เธอกลัวใจตนเองคิดลามกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตเศร้ามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอได้ไปให้พระที่วัดไทย ช่วยปัดเป่ารักษามาหลายครั้ง อาการก็ยังเหมือนเดิม พระเกจิอาจารย์เขมรชื่อดังมาจากประเทศเขมร เก่งด้านเวทมนต์คาถา มีวิชาอาคมด้านคุณไสย ได้ช่วยทำพิธีถอนของหรือปราบวิญญาณแฝง รักษาปัดเป่าอยู่หลายวัน หมดไข่ไปหลายฟอง ก็พอเบาลงแค่ตอนที่ทำเสร็จใหม่ ๆ จากนั้นก็เหมือนเดิมอีก พระเกจิอาจารย์ (หลวงพ่อวัชระ) แห่งวัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ก็เคยรักษาให้แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ทำต่อเนื่อง เธอมีความทุกข์ใจมาก ได้แต่ร้องไห้ทุกวันคืน ไม่รู้จะพึ่งใครดี<br />
<br />
ในที่สุดได้หันมาพึ่งทางธรรม ด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิบ้างในบางครั้งบางวัน ทำบุญทำทาน จัดทอดผ้าป่าบ้าง ทำบุญสารพัดรูปแบบ ไปบวชพราหมณ์อยู่ที่วัดในเมืองไทยมาแล้ว อาการของจิตวิปลาสก็เบาบางลงบ้างนิดหน่อย แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะออกจากความคิดลามกได้ ส่วนสามีของเธอก็ป่วยมาตลอด จนไม่สามารถทำงานได้ เมื่อก่อนชอบเที่ยวนอกบ้านแทบทุกวัน เดี๋ยวนี้ต้องอยู่กับบ้านแทบทุกวัน เพราะร่างกายและจิตใจเสื่อมโทรมหนัก แต่ก็ยังดีที่ทั้งสองคนนี้ ได้หันมาใฝ่ใจในด้านการบุญการกุศล......คนเราส่วนใหญ่ตอนที่ยังดี ๆ อยู่ ก็ลืมนึกถึงความตาย ลืมเรื่องบุญทานการกุศล พอเกิดความทุกข์ครอบงำ จึงหันมาทำดี คิดว่าคงจะช่วยได้ทันตาเห็น ที่จริงแล้วเรื่องกรรมนี้ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเลย ก็จะคิดว่าวิบากกรรมส่งผลทันตา เราเกิดมาหลายชาติโกฎกัป ได้เคยกระทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ฉะนั้น ผลของกรรมในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมาก ย่อมจะส่งผลให้เป็นสุขหรือทุกข์ในชาตินี้ได้ ซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย กรรมไม่ได้ส่งผลทันทีในชาตินี้เสมอไป แต่ถ้าเป็นคุรุกรรม (กรรมหนัก) ก็ส่งผลทันทีในชาตินี้ ชีวิตทุกคนเป็นไปตามกรรมของตน<br />
<br />
เรื่องนี้ก็เป็นคติสอนใจหรือเตือนใจว่า ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท อาศัยกินบุญเก่าหมดแล้วจึงสร้างบุญใหม่ เผลอ ๆ ตายอย่างกระทันหัน แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องนำทางไปสู่สุคติภูมิล่ะ และเรื่องความเชื่อของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ศาสนาพุทธสอนให้เป็นคนมีเหตุผล มีสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิต สิ่งใดที่เราพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ จะได้ไม่ขาดทุน เหมือนผู้หญิงชื่อน้อยคนนี้...เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า กรรมเป็นเครื่องตัดสินชีวิตของเราเอง ใครจะมาใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ<br />
<br />
เรื่องราวชีวิตของน้อย ฉันก็คิดว่ายังไม่จบลงในวันนี้หรอก เพราะเหตุว่าอาการทางจิตใจของเธอ ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ปรกติเท่าไรนัก สักวันหนึ่งฉันอาจจะมีเรื่องของเธอ มาเล่าต่ออีกก็ได้.....ท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง ลองพิจารณาจิตดูนะคะ ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "น่าสงสาร" (กรุณา) นึกอยากจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ขณะนั้นจิตของท่านเป็นกุศลจิต แต่ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "เศร้าใจ" (โทมนัส) ขณะนั้นจิตของท่านเป็นอกุศลจิต.........แล้วพบกันอีกในตอนต่อไปจ๊ะ<br />
<br />
<br />
.........................................<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-67686187471902988692012-06-22T05:04:00.001-07:002013-03-13T15:28:35.468-07:00เป็นกรรมกับตัวลิ้้นหมา<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b><br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2CRZTonlQNPWnW4iEVosLmWAUSE_Obsj_s2NTq0xRE7ZNnyPyIL4HEef2dI551EdTbWd4nMhdGjlrBHYSTu4NjuppfgyGLLbx2mzl1KUA5AG2kgDNfLSgNmoQsXs_VxpG-XCgSLcLEbA/s1600/DSCN4906.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2CRZTonlQNPWnW4iEVosLmWAUSE_Obsj_s2NTq0xRE7ZNnyPyIL4HEef2dI551EdTbWd4nMhdGjlrBHYSTu4NjuppfgyGLLbx2mzl1KUA5AG2kgDNfLSgNmoQsXs_VxpG-XCgSLcLEbA/s200/DSCN4906.JPG" width="200" /></a>ทุกท่านคงสบายดีนะคะ ตอนเย็นวันนี้แถบที่ฉันอยู่ อากาศดีไม่ร้อนมากนัก เพราะมีพระพิรุธมาโปรด! ฝนตกอย่างไม่มีวี่แววมาก่อน ทั้งฝนทั้งลมมาแรง ๆ พอฝนลงมาก ๆ ก็กลัวต้นไม้จะสำลักน้ำกัน ฝนหยุดแดดจ้า พอแสงกระทบกับละอองน้ำ เกิดรุ้งกินน้ำปรากฏเป็นครึ่งวงกลมสวยน่าดู เหตุการณ์ธรรมชาติสวย ๆ เช่นนี้ไม่ค่อยได้ชมบ่อยนัก แต่ที่แย่มาก ๆ ตอนหลังฝนตกอากาศชื้น ๆ มักจะมีสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ชื่อว่า <b>"ลิ้นหมา"</b> ออกมาจากในดิน เลื้อยทั่วบริเวณบ้าน ถ้าออกไปเดินเล่นนอกบ้านยามค่ำ ก็จะพบกับพวกลิ้นหมาเต็มทางเดินไปหมด เขาชอบออกหากินตอนอากาศชื้น ๆ ถ้าฤดูหนาวก็จะหลบอยู่ในดิน หรืออากาศร้อนก็จะไม่ปรากฏตัวให้เห็น เย็นวันนี้ก็มีตัวลิ้นหมา ออกมาเลี้อยอยู่ตามพื้นนอกชานหน้าบ้านหลายตัว ทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์เกี่ยวกับพวกตัวลิ้นหมา และคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่น้อยทีเดียว เพราะช่วงนี้พวกตัวลิ้นหมาจะออกมาบ่อย ๆ ตอนเช้ากับตอนเย็น บางท่านอาจจะมีปัญหากับพวกลิ้นหมา และยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ <br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPvXmwekt6qrC0thjhARIwDHBpAXH1a9C6y10YdGFHY6eZYTROdK9Ve1RWBKY4cNhSjdr7ijtVPwR681vZmJwJu0b0tp7xkFkQmgJUz0aEGi4lG66SVDB61qMevqhCnOY9OOVfBazfzuo/s1600/DSCN4872.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPvXmwekt6qrC0thjhARIwDHBpAXH1a9C6y10YdGFHY6eZYTROdK9Ve1RWBKY4cNhSjdr7ijtVPwR681vZmJwJu0b0tp7xkFkQmgJUz0aEGi4lG66SVDB61qMevqhCnOY9OOVfBazfzuo/s200/DSCN4872.JPG" width="200" /></a>ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่คงรู้จักตัวลิ้นหมาดี และคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นัก เพราะว่าแกรูปร่างไม่น่าสวยงามนัก แถมยังความประพฤติก็ไม่ดีด้วย เลี้อยไปตรงไหนก็ทิ้งรอยเมือกไว้เป็นทาง เหนียวเป็นมัน ล้างก็ไม่ออก ถ้าเลื้อยขึ้ตามฝาผนังหรือกระจกบ้าน จะมีลวดลายติดเกรอะกังน่าเกียจ ใครเจออาการเช่นนี้ รับรองว่าต้องมีโทสะแน่ ๆ เพราะว่ามันสร้างความเดือดร้อนให้เราต้องเสียเวลา และต้องออกแรงเป็นพิเศษในการทำความสะอาด เมื่อก่อนฉันเคยมีปัญหากับพวกตัวลิ้นหมาบ่อยมากเลย เวลาเราปลูกดอกไม้สวย ๆ มีดอกให้ชมชื่นใจอยู่ไม่นาน เผลอแผล็บเดียวดอกไม้สวย ๆ หายหมด เพราะโดนเจ้าตัวร้ายฟัดเรียบ โดยเฉพาะดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ๆ หรือกลิ่นฉุน ๆ อย่างพวกดอกดาวเรือง ดอกรักเร่ เป็นอาหารที่ดีมากของพวกแก พวกผักสลัดกรอบ ๆ ผักใบอ่อน ๆ หรือใบไม้อ่อน ๆ ก็ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่มีดอก้ไม้ให้กิน พวกแกก็จะกินใบไม้ใบหญ้า กินมาก ๆ แล้วก็อ้วกแตกตายคาทีก็มีเยอะ เราเคยคิดหาวิธีปราบพวกตัวลิ้นหมาหลายวิธีมาก เช่นวิธีปราบแบบไม่ทำร้ายชีวิตเขา โดยการเอาเบียร์ใส่จานไว้ พอเขาได้กลิ่นเบียร์ เขาก็จะพากันมากินเบียร์ กินจนเมาตาม ๆ กัน บางตัวก็ชอบเบียร์มาก ลงไปแช่ในจานเลย แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล เพราะว่าพอส่างเมาแล้วก็เหมือนเดิม จากนั้นพอมีแรงก็จะไปเที่ยวหากินดอกไม้สวย ๆ งาม ๆ จนเกลี้ยงอีก<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxiE7GJYqP87uOs1S7Iby-uBmwR3VomOvuA1vWV4AzQZQONCN5_ylaUaX4vYizE6ISMfoWYatVuKRLXfvWRCE6NNuP38flPU185TAvcXPnRzDGcW0lMZtbPhJCK0GTeUfn3gd-4yY1sDs/s1600/DSCN5642.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxiE7GJYqP87uOs1S7Iby-uBmwR3VomOvuA1vWV4AzQZQONCN5_ylaUaX4vYizE6ISMfoWYatVuKRLXfvWRCE6NNuP38flPU185TAvcXPnRzDGcW0lMZtbPhJCK0GTeUfn3gd-4yY1sDs/s200/DSCN5642.JPG" width="200" /></a> เราคิดหาวิธีใหม่ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ทรมานเขา คิดว่าคงจะดีและได้ผล คือให้เขากินพวกสลัดซื้อมาสด ๆ ให้ไปกินนอกบริเวณบ้าน มีที่ให้กินโดยเฉพาะ เราก็ช่วยเขาด้วยนะ คือช่วยกันเก็บพวกเขาไปรวมไว้ที่เดียวกัน แล้วเอาสลัดกองไว้ให้พวกเขาจัดการกันเองตามสบาย ให้กินกันอย่างเต็มที่ เสร็จแล้วผลปรากฏว่า พอเขากินเสร็จก็พากันเลื้อยกลับมาหากินใบไม้สวย ๆ กำลังแตกใบอ่อน ทำความเดือดร้อนให้เราไม่หยุดเลย เราก็หาวิธีปราบไม่หยุดเหมือนกัน ทีนี้เอาวิธีใหม่ คือเก็บพวกเขารวม ๆ กันให้ได้เยอะ ๆ แล้วเอาไปปล่อยกลางทุ่งนา คิดว่าเขาคงกลับบ้านไม่ถูกแน่ แต่ปรากฏว่าเราเอาเขาไปปล่อยตอนเย็น พอตอนเช้าพวกเขาก็มาเลื้อยเต็มสวนเหมือนเดิมอีก สามีฉันบอกว่า พวกตัวลิ้นหมามันเลื้อยกลับบ้านได้ มันเลื้อยเร็วก็ได้ด้วย ก็เป็นความจริง เราหาวิธีแก้ปัญหากับพวกตัวลิ้นหมาวิธีสุดท้ายก็คือ เลิกปลูกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม อย่างพวกผักใบฉุน ๆ พวกสะระแหน่ ต้นหอม ผักชีนี่ปลูกไม้ได้เด็ดขาด เขาชอบมาก สัตว์พวกนี้ดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไรมากนัก แต่เขาอาฆาตเป็นเหมือนกันน่ะ<br />
<br />
น้องสาวฉันเป็นคนที่เกลียดพวกตัวลิ้นหมามาก ๆ เลย พวกตัวลิ้นหมามันก็รู้ว่าใครเกลียดมัน ดูเหมือนมันจะชอบแกล้งด้วยล่ะ มีอยู่วันหนึ่งเขากำลังรีดเสื้อของเขาเอง รีด ๆ ไปบังเอิญมือไปถูกอะไรนิ่ม ๆ ที่ใต้ปกเสื้อ พอเปิดดูก็เห็นเป็นตัวลิ้นหมาซ่อนอยู่ใต้ปกเสื้อ ตัวสีดำโตมากทีเดียว เขาก็ร้องลั่นเพราะตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันแบบนั้น เวลาน้องฉันซื้อผัก และเขาจะเป็นคนทำหน้าที่ล้างผักเอง ก็มักจะเจอตัวลิ้นหมาอยู่ในผักบ่อย ๆ บางครั้งเวลาเขาเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ หน้าต่าง ไม่นานนักก็จะมีตัวลิ้นหมาเลื้อยขึ้นมาที่หน้าต่างให้เห็น เพราะพวกตัวลิ้นหมามันรู้ว่าเธอเป็นคนทำหน้าที่เช็ดทำความสะอาดกระจก สัตว์เดรัจฉานนี่เขาก็มีจิตวิญญาณเหมือนมนุษย์ เขารู้ว่าใครเกลียดหรือชอบเขา ส่วนตัวฉันเอง ถ้าถามว่าชอบมั้ย ขอตอบว่าไม่เกลียดแต่ก็ไม่ชอบนะ เห็นก็รู้สึกเฉย แต่ก็จะมีความแปลกตรงที่ว่าจะไม่ค่อยเห็นพวกเขา ถ้าเขาหลบซ่อนอยู่ตามผักหรือตามสิ่งของ บางครั้งซื้อผักที่มีตัวลิ้นหมาเกาะอยู่ก็ยังไม่เห็น จนน้องสาวทักว่า "เห็นไอ้ตัวร้ายมั้ยน่ะ" ฉันถาม "อยู่ไหน" ขนาดอยู่ตำตาก็ไม่เห็นกัน ก็แปลกดีนะ<br />
<br />
ฉันเคยเหยียบพวกตัวลิ้นหมาบ่อยมาก เพราะบางครั้งในที่มืดมองไม่เห็น พอรู้ก็แบนซะแล้ว ช่วยไม่ได้จริง ๆ แต่เขาตายแล้วไม่ไปไหน เขามาเกาะอยู่ที่เท้า ทำให้ปวดบวมอักเสบอย่างกระทันหัน ไปเอ็ซเรย์ก็ไม่พบอะไรผิดปรกติ หมอแนะนำต้องตัดลองเท้าพิเศษประเภทลองเท้าอนามัย เพื่อช่วยไม่ให้ปวดเวลาเดิน ต้องเปลี่ยนเป็นรองเท้าอนามัยหมดเลย แต่ละคู่แพงมาก เสียเงินค่าหมอและค่ารองเท้าหลายตังค์เหมือนกัน กว่าจะหายเป็นปรกติเป็นเวลาถึง ๖ เดือน เขาจองเวรนานมากทีเดียว คงจะเป็นเพราะว่าเราไปเหยียบพวกเขาอยู่บ่อย ๆ ได้บทเรียนราคาแพงจากพวกลิ้นหมา เลยทำให้ต้องมีสติระวังมากขึ้น เวลาเจอพวกเขาเลื้อยอยู่ตามข้างถนน ก็จะช่วยเขาให้ปลอดภัยจากการถูกเหยียบ กด้วยวิธีเอาไม้เขี้ยเขาให้หลบไปไกล ๆ จากทางเดิน<br />
<br />
จากนั้นมาก็รู้สึกว่ากรรมกับพวกลิ้นหมาเบาลงได้ เพราะเราเลิกเบียดเบียนเขา เขาก็จะไม่เบียดเบียนเราเช่นกัน ฉันจะสอนลูกเสมอ ๆ ว่าให้ช่วยชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยและไม่เบียดเบียนสัตว์ทุกชนิด เดี๋ยวนี้เราไม่มีปัญหากับพวกลิ้นหมาอีกแล้ว เราไม่สนใจว่าเขาจะกินอะไรของเรา ใครอยากทำอะไรก็ทำไป จะกินอะไรก็ได้ เพราะเขาก็หิวเหมือนเรา เมื่อเราไม่หวง เขาก็รู้เหมือนกัน เขาก็จะกินแต่ใบหญ้าหรือใบไม้ที่หล่นจากต้นเท่านั้น<br />
<br />
อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างค่ะ ถ้าท่านมีปัญหากับพวกตัวลิ้นหมา ก็ลองใช้วิธีปล่อยวางอย่างที่ฉันทำก็ได้นะคะ วิธีนี้ได้ผลดีทีเดียวจ๊ะ และไม่มีเวรกรรมต่อกันด้วย เรื่องของเจ้าลิ้นหมาก็คงจะจบกันแค่นี้ล่ะ แล้วพบกันในบทความใหม่นะคะ <br />
<br />
<br />
.......................................<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-53446962311587502672012-06-18T23:10:00.002-07:002013-03-13T15:24:48.593-07:00กรรมของป้าติ่ง<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน<br />
<br />
หวังว่าคงสบายดีทุกท่านนะคะ ช่วงนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์ร้อนพอ ๆ กับเมืองไทยเลยนะ ฝนไม่ตกสัปดาห์หนึ่ง รู้สึกว่าจะแห้งแล้งไปหมด ต้นหญ้าถูกแดดเผาเฉาไม่น่าดูเลย ดอกไม้กำลังจะบานชูช่อก็คอพับตาม ๆ กันซะแล้ว ผลไม้กำลังจะออกผลก็เหี่ยวหดไม่เต่งตึง แถมรสชาดผักผลไม้ก็เพี้ยนไปหมด เพราะธรรมชาติแปรปรวนอยู่บ่อย ๆ .... ความแปรปรวนและความไม่เที่ยงนี่แหละ เป็นเหตุแห่งทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติหรือธรรมะ เราก็จะต้องมีความทุกข์กายทุกข์ใจมากทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย....วันนี้ฉันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้มีเรื่องมาเล่าสู่กันอ่านอีก เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องจริงเพิ่งเกิดกับเพื่อนของฉันเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง<br />
<br />
เมื่อสองวันมานี้ เพื่อนฉันได้เล่าให้ฟังว่า เธอได้งานทำแล้ว หลังจากที่ได้ติดต่อสมัครงานและหางานมาเป็นเวลาหลายเดือน งานที่เธอต้องการทำหายากมาก เพราะว่าเขาไม่รับคนอายุมาก เธออายุ ๖๐ ปีเศษ ๆ งานใหม่นี้เป็นงานรับจ้างเลี้ยงเด็กลูกคนไทย แม่เขาทำงานเกือบทั้งคืนทั้งวัน จึงไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เลยต้องจ้างคนอื่นเอาไปเลี้ยงให้ คือรับเลี้ยงและทำหน้าที่เหมือนเป็นแม่เด็กเลยล่ะ เอามาอยู่บ้านด้วยกันเป็นเวลา ๖ วัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ตอนเช้าก็นำไปส่งให้แม่เขา แล้ววันจันทร์ตอนเช้าก็นั่งรถไฟไปรับเด็กมาเลี้ยงอีก เด็กอยู่ต่างจังหวัด ต้องใช้เวลาเดินทางราว ๆ เกือบ ๒๐ นาที เป็นเด็กผู้ชายอายุ ๒ ขวบ หน้าตาน่ารักมาก เพราะเป็นเด็กลูกครึ่งไทยสวิส ชื่อ "จอนนี่" นอกจากจะมีความน่ารักมากแล้ว ยังมีความดื้อและความซนมากด้วย นี่ก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของเพื่อนฉัน ที่ต้องมารับเลี้ยงเด็กจอนนี่<br />
<br />
วันแรกที่ไปรับหนูจอนนี่มาเลี้ยงที่บ้าน หลังจากที่ได้กินอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ติ่ง (นามสมมุติของเพื่อน) ได้บอกกับเด็กว่า จะขอออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกบ้าน เด็กก็ตกลงว่าจะรออยู่ในบ้านคนเดียว ติ่งชอบสูบบุหรี่จนติดเป็นนิสัย แต่เธอจะไม่สูบในบ้าน เพราะว่าเจ้าของที่พักเขาไม่อนุญาต ระหว่างที่เธอสูบบุหรี่อยู่นอกบ้าน เด็กชายจอนนี่ก็อยู่ในบ้านคนเดียว ประตูบ้านเป็นประตูแบบคนภายนอกเปิดเข้าไม่ได้ ถ้าออกไปแล้ว จะเข้าบ้านอีก คนในบ้านจะต้องช่วยเปิดประตูให้ จึงจะเข้าบ้านได้ ทีนี้เด็กจอนนี่เขาไม่ยอมเปิดประตูให้ป้าติ่งเข้าบ้าน อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ป้าติ่งก็ได้แต่ยืนพูดคนเดียวอยู่หน้าประตู โมโหก็โมโหเพราะเสียท่าเด็ก ๒ ขวบ นึกไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็ก ๆ ยังไม่ทิ้ง<br />
แพ้มเพ่อร์เลย สามารถแกล้งผู้ใหญ่ให้โมโหได้ขนาดนี้ เป็นเวลา ๒ ชั่วโมงเต็ม ๆ ที่ป้าติ่งแกต้องยืนรออยู่หน้าประตูบ้านคนเดียว พอจอนนี่เปิดประตูให้ป้าติ่งเข้าบ้านได้ ป้าติ่งเล่าว่า เธอตกกะใจแทบลมจับ ทั้งยืน เพราะจำจอนนี่ไม่ได้ จอนนี่เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เป็นจอนนี่ปากบานสีแดงแจ้ด เปลือกตาดำเป็นปื้น คิ้วดำเปรอะ แก้มเป็นจ้ำสีแดง ป้าติ่งเห็นแล้วอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง แกพูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะจัดการยังไงดีกับเด็กจอนนี่ จึงคิดว่า ทางที่ดีลองใช้วิธีเก็บน้ำขุ่นไว้ข้างใน เอาน้ำใสไว้ข้างนอกดีกว่า ป้าติ่งจะไม่มีการดุว่าหรือทำโทษจอนนี่ เพราะว่าเป็นวันแรกที่รู้จักกัน เกรงว่าเด็กจะกลัวและเกลียดแก่ ก็พูดกันดี ๆ บอกให้ไปทำความสะอาดหน้าตาซะโดยดี เด็กก็ไปทำความสะอาดหน้าตาโดยมีป้าติ่งเป็นคนช่วย<br />
<br />
พอถึงเวลานอนติ่งก็จะให้เด็กจอนนี่นอนเตียงเดียวกับเธอ แต่ว่าจอนนี่จะต้องนอนแต่หัวค่ำ จอนนี่ว่าง่ายเข้านอนตามคำสั่ง ส่วนป้าติ่งก็นอนดูทีวีในห้องรับแขกหน้าบ้าน เผลอหลับไป เจ้าจอนนี่แอบย่อง ๆ มาเปลี่ยนรายการทีวี ทำเสียงดังจนป้าติ่งตกใจตื่น จอนนี่เห็นป้ารู้สึกตัวตื่น จึงรีบวิ่งอย่างเร็วเข้าห้องนอน กระโดดขึ้นเตียงแล้วรีบห่มผ้า ให้ดูเหมือนว่าเขากำลังหลับอยู่ พอป้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จอนนี่ปล่อยหัวออกมาอย่างดัง ซะใจที่ได้แกล้งป้าติ่งให้โมโห สร้างความเครียดให้ป้า จนป้านอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดหาวิธีที่จะปราบเจ้าจอนนี่แสนซนให้ได้....วันรุ่งขึ้นจอนนี่ก็ทำตัวน่ารักว่าง่ายดี แต่ไม่มีใครรู้พิษสงของเขา เพราะยังใหม่อยู่...... ตอนบ่ายวันนี้มีการนอนหลับกลางวันพักผ่อน จอนนี่ก็ทำเป็นหลับ ป้าติ่งคิดว่าหลับจริง ๆ เธอก็เลยหลับจริง ๆ ด้วย พอเห็นว่าป้าหลับส่งเสียงดังคร็อก ๆ จอนนี่จึงย่อง ๆ ไปเอาเชือกในครัว มามัดที่ข้อเท้าทั้งสองของป้าติดกันไว้ พอป้าติ่งรู้สึกตัวว่าโดนมัด จึงได้เกิดโทสะอย่างรุนแรง จึงจับเด็กจอนนี่ไปทำโทษ โดยขับไว้ในห้องน้ำ จอนนี่ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนกัน เขาร้องไห้ตะโกนลั่นห้องน้ำเสียงดังมาก ในที่สุดเสียงดังทะลุไปถึงห้องเพื่อนบ้านติดกัน เพื่อนบ้านก็เกิดอาการโทสะเล่นงานเช่นเดียวกับป้าติ่ง เขาคิดว่าป้าติ่งทำร้ายเด็ก จึงมากดกริ่งหน้าห้องพัก เพื่อจะช่วยเด็ก พอป้าเปิดประตูเท่านั้นแหละ เจ้าจอนนี่รู้ว่ามีคนมา ได้ท่าเลยร้อยไห้ใหญ่เลย แถมบอกว่าโดนป้าติ่งรังแก ป้าเจอข้อหาทำร้ายร่างกายเด็ก ชาวบ้านเขาจะแจ้งตำรวจจับจริง ๆ ด้วย ซวยจริง ๆ งานนี้มีแต่ขาดทุน แกมักจะเจออะไรซวยๆ เสมอ ป้าพูดความจริงไม่มีใครเชื่อ เพราะใคร ๆ ก็คิดว่าเด็กต้องไร้เดียงสาเสมอ แต่เด็กจอนนี่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ เขาร้ายเดียงสา<br />
<br />
ชาวบ้านเขารู้จักป้าติ่งดี ว่าเป็นคนใจบุญชอบช่วยเหลือคน เขาก็เลยยังไม่แจ้งตำรวจ แต่ก็บอกไว้ว่า ถ้าเกิดเหตุเช่นนี้อีกเขาจะแจ้งตำรวจทันที สรุปแล้วป้าติ่งแกซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง ค่าจ้างเลี้ยงเด็กไม่คุ้มเลย แถมยังได้แต่ความเครียด ไม่สนุกเลย เด็กจอนนี่ซนมาก ๆ เผลอไม่ได้ชอบค้นข้าวของในบ้าน ต้องตามเก็บจนเหนื่อย แต่ว่าถึงจะร้ายมากมายแค่ไหนก็ตาม ป้าติ่งบอกว่า ตอนนี้เธอรักจอนนี่มาก อยู่ด้วยกันมาได้ ๑ สัปดาห์แล้ว แต่จอนนี่ดีกับป้าไม่กี่วัน ส่วนใหญ่จะแกล้งป้ามาตลอด และตอนนี้จอนนี่ก็ได้ถูกส่งไปลองอยู่กับคนอื่น เขาคงจะเบื่อที่จะอยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ จึงให้แม่เปลี่ยนคนเลี้ยงบ่อย ๆ<br />
<br />
สรุปแล้ว ป้าติ่งก็ได้เสวยอกุศลวิบากไปแล้ว เพราะเหตุว่าตลอดเวลาที่เด็กจอนนี่อยู่ด้วย เธอมีแต่ความเครียดความทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอในชีวิตแต่ละวัน เพราะว่าเด็กจอนนี่คนนี้ร้ายมาก ๆ แต่ก็มีความฉลาดพอตัว ตอนหลังเธอบอกว่า "รักจอนนี่มาก" จอนนี่ก็รักเธอเช่นกัน แต่ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เพราะเหตุว่าจอนนี่ต้องเร่ร่อนไปอยู่กับคนเลี้ยงใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ<br />
<br />
นี่แหละกรรม....เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏโดยไม่มีใครขัดค้านได้เลย อย่างเรื่องของป้าติ่ง เธอหางานตั้งนานไม่ได้ แต่กลับได้งานที่ไม่ได้หา ได้เพราะมีคนแนะนำให้ แล้วก็ประสบแต่ความเครียดมาตลอด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ ส่วนจะกระทำแต่เมื่อไรนั้นไม่มีใครทราบได้จ๊ะ....บทความนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า "สติ" เท่านั้นเป็นเครื่องคุ้มครองกายใจให้ปลอดภัยได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ และยังเป็นเรื่องเตือนใจว่า <b>"ทุกคนหนีไม่พ้นจากกฏแห่งกรรม" </b>เพราะฉะนั้น จึงควรสะสมแต่สิ่งที่ดี ๆ เพื่อที่จะได้เสวยวิบากที่ดี ๆ สำหรับเรื่องนี้ก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ.....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด และคอยติดตามต่อไปอีกนะคะ <br />
<br />
<br />
....................................<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-21215389913376853942012-06-10T05:52:00.000-07:002013-03-13T15:38:28.816-07:00หนี้กรรม (ตอนที่ ๒)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b>....อ่านเรื่องหนี้กรรมตอนที่ ๑ จบไปแล้ว ท่านรู้สึกจิตใจเป็นอย่างไรบ้างคะ คงจะสงสารหนูมากกว่าสมน้ำหน้านะคะ สัตว์ก็มีวิบากกรรมเหมือนกับคน เพราะเหตุว่ามีขันธ์ ๕ เหมือนกัน สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน.....การที่ได้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เพราะว่าผล (วิบาก) ของอกุศลกรรมมีกำลังแรงกว่าผลของกุศลกรรม เมื่อเกิดเป็นสัตว์ก็ไม่สามารถที่สร้างบุญกุศลอะไรได้เหมือนกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีขันธ์ ๕ เหมือนกันก็ตาม ก็จะมีแต่เวียนวายตายเกิดอยู่ในอบายภูมิเรื่อยไป จนกว่าผลของกุศลกรรมในชาติก่อน ๆ จะส่งผลให้เกิดในภูมิมนุษย์ <br />
<br />
วันนี้ฉันก็จะขอเล่าเรื่องหนี้กรรมต่อเลยนะคะ เพื่อไม่ให้เสียเวลารอคอยกันนานนัก บางท่านก็อาจจะรอมาหลายวันแล้ว เพราะอยากจะทราบว่าหลังจากพวกหนูมันตายกันหมดแล้ว ยังจะมีพิษสงอะไรอีกหนอ..... กรรมที่ได้กระทำสำเร็จครบองค์แล้ว ย่อมมีผลหรือวิบากตามเหตุตามปัจจัย ผลของกรรมจะส่งผลส่งผล เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ที่จะให้ผลของกรรมเกิด ผลของกรรมก็ย่อมเกิด ถ้าเป็นกรรมที่มีกำลังแรงเพราะเหตุว่าเป็นกรรมที่ประกอบด้วยเจตนา ผลหรือวิบากกรรมก็ย่อมส่งผลเร็วกว่ากรรมที่ไม่ประกอบด้วยเจตนา.....เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวของคุณหน่อยและคุณพิชัย หลังจากที่หนู ๔ ตัวพ่อแม่เลูก ได้ตายเพราะความเหนียวของกาวแล้ว การตายของพวกหนูเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจริง ไม่มีใครสามารถช่วยได้ คุณหน่อยเองก็ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าพวกเขาหรอกนะ แต่ว่าคงจะเป็นวิบากกรรมของพวกหนูด้วย จึงต้องมาตายในลักษณะเช่นนั้น กรรมที่คุณหน่อยได้กระทำสำเร็จไปแล้วนั้น ก็ได้ส่งผลอย่างรวดเร็วเกินคาด<br />
เรื่องของวิบากกรรมเป็นเรื่องที่วิจิตรมากและยุติธรรมมาก ใครทำกรรมเช่นใดไว้ก็จะต้องได้รับผลของกรรมเช่นนั้น<br />
<br />
มีอยู่วันหนึ่งหนูตุ๊กตาลูกสาวคนเล็กวัย ๕ ขวบ หลังจากเลิกเรียนโรงเรียนอนุบาล พอกลับถึงบ้านเธอคงจะหิวมาก จึงรีบวิ่งเข้าครัวเพื่อที่จะหาอะไรกิน ตอนนั้นยังอยู่ในชุดนักเรียน ยังไม่มีเวลาเปลี่ยน เพราะว่าหิวจัด เธอจึงได้ปีนขึ้นบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่ตั้้งอยู่คู่กับโต๊ะอาหารในครัว เพื่อที่จะเอาของกิน (ขนม) ที่อยู่บนโต๊ะ เธอยังเด็กยังเล็กมาก ไม่ได้คิดอะไร รู้แต่ว่าหิวก็จะเอาของกินให้ได้ เก้าอี้ที่เธอปีนขึ้นไปนั้น ได้มีกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่บนเก้าด้วย มันก็เป็นเรื่องแปลกดีนะ ที่กระติกน้ำร้อนตั้งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่หนูน้อยตุ๊กตาต้องการจะปีน ทำไมจะต้องเจาะจงปีนเก้าอี้ตัวที่มีกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่ด้วย ทำไมไม่ปีนที่ตัวอื่น และทำไมต้องเอากระติก มาตั้งไว้บนเก้าอี้ในวันนั้นด้วย ทั้ง ๆ ที่ปรกติจะตั้งอยู่บนโต๊ะ หนูตู๊กตาก็ไม่ได้สนใจกระติกน้ำร้อนเลย สนใจอย่างเดียวคือเรื่องของกิน บังเอิญพอปีนขึ้นไป ยังไม่ทันจะยืนบนเก้าอี้ กระโปงเจ้ากรรมทำเรื่องอย่างช่วยไม่ได้เลย ดันไปปัดเอากระติกน้ำร้อนหล่นลงมาพร้อมกับหนูน้อยผู้น่าสงสาร ร่างน้อย ๆ ได้ตกลงมานอนฟุบอยู่กับพื้นห้องอย่างไม่เป็นท่า กระติกน้ำหล่นลงมากระทบกับพื้นด้วยความแรง เกิดเสียงดังเหมือนสนั่นลั่นบ้าน ฝากระติกน้ำกระเด็นไปคนละทิศคนละทางกับตัว ทันใดนั้นน้ำร้อนน้ำในกระติกซึ่งร้อนจัดแบบจัด ๆ ได้ไหลออกมาลวกขาน้อย ๆ ของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา พ่อแม่ของเธอได้รีบนำเธอส่งโรงพยาบาลโดยเร็วด่วน....<br />
<br />
ระหว่างที่รอการตรวจเช็คจากแพทย์ทางโรงพยาบาล คุณหน่อยได้เล่าว่า เธอได้เห็นหนูวิ่งผ่านหน้าเธอไปหลายตัว จึงเป็นเหตุให้เธอนึกขึ้นได้ว่าหนูพวกนี้เขาได้มาทวงหนี้กรรมกับเธอแล้ว เธอทราบดีว่าที่ลูกสาวเธอต้องโดนน้ำร้อนลวกเจ็บแสบที่ท้าวและที่ขานั้น มันเป็นอาการเหมือนที่พวกหนูเขาเป็น ลูกสาวเธอต้องนอนรักษาแผลซึ่งถูกน้ำร้อนลวกเหวอะหวะอยู่เป็นเวลานานถึง ๒ สัปดาห์ ขณะนั้นที่เธอนอนเฝ้าลูกอยู่ที่โรงพยาบาล พวกหนูก็ได้พากันมาปรากฏให้เธอเห็นอยู่บ่อย ๆ จะเห็นหนูวิ่งอยู่ที่พื้นห้องหลายตัว ทั้ง ๆที่ห้องนอนของโรงพยาบาลก็สะอาด ไม่น่าจะมีหนูมาซุกซ่อนอยู่ในที่นั้นได้ แต่ทว่าหนูพวกนี้เขาวิ่งผ่านหน้าแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว ก็คงจะเป็นวิญญาณที่ยังอาฆาตพยาบาทกันอยู่.....เมื่อทราบว่าเป็นวิญญาณพวกหนูที่ตายไปเมื่อ ๓ วันก่อนนี้ คุณหน่อยจึงได้สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พวกหนูทุกตัวทุกตนมีความสุขอย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันอีก หลังจากนั้นเธอก็ไม่เห็นวิญญาณของพวกหนูอีกเลย ส่วนลูกสาวของเธอก็ได้ชดใช้กรรมที่แม่ได้ทำไว้แล้ว ทุกวันนี้ที่ขาทั้งสองข้างของหนูตุ๊กตาก็ยังมีรอยแผลเป็นอยู่ เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนในบ้านว่า "ไม่ควรเบียดเบียนสัตว์"......ครอบครัวนี้เขาเป็นคนใจบุญ สวดมนต์ภาวนาท้งครอบครัว แต่ที่ได้กระทำกรรมกับพวกหนูก็คงจะเป็นเพราะว่าเคยกระทำกรรมเช่นนี้มาแล้วแต่ปางก่อน </div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-16825547668752431372012-05-17T08:20:00.001-07:002013-04-09T13:11:36.280-07:00สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b><br />
<br />
เป็นยังไงบ้างคะ หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ช่วงนี้อากาศแปรปรวนบ่อยมาก จิตใจคนก็พลอยปั่นป่วนไปด้วย แถบยุโรปช่วงนี้บางประเทศเจอฝนและพายุหนัก บางประเทศหิมะลงผิดฤดูกาล ทำให้พืช ผักผลไม้ดอกไม้ที่กำลังจะออกดอกออกผลเสียหายมากมาย นี่แหละธรรมชาติหรือธรรมะ ไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้เลย ความไม่เที่ยงเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง....<br />
<br />
วันนี้ฉันก็มีเรื่องน่าสนใจจะเล่าสู้กันอ่าน เพื่อเป็นอุทาหรณ์หรือเครื่องเตือนใจ เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมาสด ๆ ร้อนได้ ๗ วันนี่เอง....เมื่อสามวันที่ผ่านมานี้ได้มีผู้หญิงไทยคนหนึ่ง โทรมาอวยพรเนื่องในวันแม่ให้กับฉัน (ช้าไป ๑ วัน) เธอนับถือฉันเหมือนแม่ เพราะเวลาเธอมีปัญหาอะไรก็ตาม มักจะกริ๊งมาระบายให้ฉันฟัง แล้วร้องไห้ให้ฟังเป็นประจำ ฉันก็จะต้องหาวิธีพูดปลอบใจเธอ จนกระทั้งทำให้เธอหัวเราะได้ บางครั้งระบายนานเป็นชั่วโมงก็ไม่ยอมจบ เพราะยังไม่ได้หัวเราะ หนักหน่อยร้องไห้มาก ๆ ก็จะเกิดอาการหายใจไม่ออก จะตายซะง่าย ๆ งั้นแหละ แต่ก็รอดทุกที ฉันขอสมมติชื่อผู้หญิงคนนี้ว่า <b>"สวย"</b> ฉันรู้จักกับสวยมาร่วม ๒๐ ปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ฉันได้ยินแต่เรื่องความทุกข์ของเธอมาตลอด จึงคิดว่าน่าจะนำเรื่องกรรมของเธอ มาเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้อ่านกันบ้าง จึงได้ขออนุญาตจากเธอ ๆ ก็เต็มใจที่จะให้ฉันเขียน เพื่อเป็นวิทยาทาน.....บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองมีทุกข์มากกว่าใคร ๆ ถ้าได้อ่านเรื่องกรรมของผู้หญิงชื่อสวยแล้ว ท่านอาจจะบอกกับตัวเองว่า "ทุกข์ของเรามันน้อยนิดมาก" ก็เป็นได้นะ....<br />
<br />
ขอย้อนกลับเข้าสู่เรื่องซะที พอสวยอวยพรให้ฉันเสร็จ เธอก็ถามฉันว่าสบายดีมั้ย เธอจะถามเช่นนี้เสมอ ถ้าฉันตอบว่าไม่ค่อยสบาย เธอก็จะไม่คุยนาน คราวนี้ฉันบอกว่าสบายดี เธอก็ถือโอกาสเริ่มเรื่องของเธอทันที เธอเล่าว่า "ช่วงนี้ซวยอีกแล้ว ซวยแบบสุด ๆ เลย เจอระเบิดลูกใหญ่เลยล่ะ เรื่องเก่ายังไม่คลี่คลาย เรื่องใหม่ซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก อยากจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะที" รู้สึกว่าเธอจะใช้สำนวนนี้เสมอ ๆ เวลาเธอมีปัญหาหนัก ๆ ฉันก็ใช้สำนวนของฉันเช่นกัน ก็จะบอกกับเธอว่า "อย่าเพิ่งรีบตายเลย ลองอยู่ดูชีวิตต่อไป ดูกรรมต่อไป ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราอีก บางทีผลของกรรมดีอาจจะส่งผลสักวันก็ได้ ไม่มีใครรู้ ถ้าขืนตายตอนนี้ โดยที่ยังไม่ได้สะสมกุศล ตายไปพร้อมกับโทสะก็จะต้องไปสู่อบายภูมิได้" พอได้ฟังเช่นนั้น เธอก็ไม่เถียงสักคำ<br />
<br />
เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมานี้ เธอได้ไปทำงานตามปรกติ งานของเธอก็คือทำหน้าเสริพอาหารอยู่ที่ร้านอาหารไทยให้เมืองหนึ่ง เธอต้องนั่งรถไฟไปทุกวัน นั่งรถไฟแค่ ๒๐ นาที ทำงานทั้งวัน เลิกเที่ยงคืน วันที่เกิดเหตุนั้น ในตู้ที่เธอนั่งไม่มีผู้โดยสารอื่นเลย ตอนที่เธอขึ้นไปนั่งตอนแรก ก็เห็นมีเด็กวัยรุ่นผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง เดินผ่านเธอไป เธอคิดว่าเขาคงจะเดินไปลงรถ เมื่อรถไฟแล่นไปได้สักระยะ เธอรู้สึกเหนื่อยและเพลียมากจากการทำงานทั้งวัน จึงได้เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกที รถไฟจอดที่สถานีปลายทางและคนขับรถไฟดับเคลื่องรถเรียบร้อยแล้ว เธอตกใจมาก เมื่อตื่นมาไม่พบกระเป๋าถือใบสำคัญของเธอ ในกระเป๋ามีเอกสารสำคัญ มีเงินหลายร้อยสวิสฟรังค์ โทรศัพท์มือถือ บัตรธนาคาร สิ่งมีค่าอีกหลายอย่างที่เธอพกติดตัวเป็นประจำ เธอเล่าว่า เมื่อได้สติเธอรีบวิ่งไปหาคนขับรถไฟ ขอร้องให้เขาช่วยโทรแจ้งตำรวจให้ด้วย ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งแล้ว ที่สถานีรถไฟไม่มีใครเลย นอกจากเธอกับคนขับรถไฟเท่านั้น คนขับรถไฟก็ได้รีบโทรแจ้งตำรวจทันที ตำรวจก็รีบมาทำการสอบสวนเรื่องราว เสร็จแล้วจึงพาเธอไปส่งที่พัก กุญแจของอพ้าทเม้นก็ติดไปในกระเป๋าถือ ตำรวจจึงต้องเรียกช่างกุญแจฉุกเฉินมาเปิดให้ เธอบอกว่าเธอแฟนบอกเลิก ก็เจ็บปวดสาหัสพอแล้ว ยังต้องมาสูญเสียเงินทองและของมีค่าอีกหมดตัวเลย มีเงินติดอยู่บ้านแค่ร้อยฟรังค์เท่านั้น เงินเดือนก็ขอเบิกล่วงหน้ามาครึ่งหนึ่งเพื่อชำระภาษี ตั๋วรถไฟประจำปีก็เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วัน ก็ติดอยู่ในกระเป๋า ตั๋วรถไฟแพงมาก ทุกอย่างต้องซื้อใหม่หมด เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว อยู่คนเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใคร เช้ามาก็ไปทำงาน กลับบ้านตอนดึก พอถึงบ้านก็นอนเพื่อที่จะตื่นมารับผลของกรรมในวันรุ่งขึ้นต่อไป จนเธอไม่อยากจะตื่นอีกแล้ว เพราะไม่อยากที่จะพบกับความทุกข์ความเศร้าใจอีก<br />
<br />
ตลอดชีวิตมีแต่ปัญหามากมาย หลังจากเหตุการณ์ถูกคนขโมยกระเป๋าถือผ่านไปได้หนึ่งวัน เธอได้รับจดหมายทวงหนี้ จากบริษัทเครดิตเงินกู้ ซึ่งเธอกับสามีเก่า เคยกู้เงินร่วมกันมาและร่วมกันทำล้มละลาย ด้วย เป็นเวลา ๒๐ ปีมาแล้ว ตอนนี้ครบกำหนดสัญญาที่เธอจะต้องชำระหนีคืน เรื่องนี้ก็ทำให้เธอเจ็บแสบมาแล้ว เธอโดนสามีโกงเอาเงินที่กู้ด้วยกันไปใช้คนเดียว หนีไปอยู่กับผู้หญิงอื่น เป็นเหตุทำให้เธอต้องฟ้องหย่า แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น กลับมีผลต่อเนื่องมาถึงวันนี้ คือเธอจะต้องรับผิดชอบใช้หนีทั้งหมดเป็นจำนวนร่วม ๓๕ พันสวิสฟรังค์คนเดียว เพราะว่าตอนเซ็นสัญญากู้ เธออ่านภาษาเยอรมันไม่ออกรู้เรื่อง ตอนนั้นเพิ่งมาอยู่ได้สามเดือนกว่า ๆ เพิ่งแต่งงานใหม่ ก็ไว้ใจสามีมาก คิดว่ารักจริง จึงเซ็นส่งเดชไปและคิดว่าจะได้เงินมาสักก้อน เพื่อมาลงทุนทำอะไรสักอย่าง แต่ผิดคาดเลยนะ เธอไม่ได้เห็นเงินเลยสักเหรียญเดียว ในที่สุดตอนนี้เธอต้องมาวิ่งเต้น หาทนายความใจดีที่ไม่คิดค่าทำงานช่วย แต่ก็หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เพราะค่าทนายความที่สวิตเซอร์แลนด์แพงยิ่งกว่าอาชีพอื่น ๆ หลายเท่า สวยพอดำรงชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งมาตลอด ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนเพราะไม่มีเงิน แต่เธอก็มีพระธรรมเป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดตลอดมา <br />
<br />
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เห็นมั้ยค่ะ ว่ากรรมนี่วิจิตรมากขนาดไหน เมื่อมันสุกงอมเต็มที่แล้ว มันก็จะส่งผลทันที โดยไม่เลือกกาลเวลา มันส่งผลติดต่อกันหลายเรื่องได้ เป็นเรื่องราวหลายตอนได้ บางเรื่องก็ยาวนานกว่าจะจบ บางเรื่องก็สั้น บางเรื่องก็เกิดพร้อมกันหรือซ้อนกันได้ ก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของเจตนากรรม เพราะฉะนั้นเราควรสะสมแต่กุศลกรรมให้มาก ๆ ด้วยการฟังธรรมะเพื่อละความเห็นผิด เพื่อสะสมความเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งเกิดดับหรือชีวิต (ขันธ์ ๕) จะได้มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้าด้วย....เราจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน "สติ" เป็นธรรมที่คุ้มครองกายและใจได้ทุกสถานการณ์ เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติให้ยิ่ง ๆ ขึ้น <br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-92191280806687504642012-05-05T11:38:00.003-07:002013-04-09T13:16:20.142-07:00ผลของความริษยาเพื่อน<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b><br />
<br />
หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้นานทีเดียว พบกันคราวนี้ ฉันมีเรื่องจากประสบการณ์ตรงมาเผยแพร่ คิดว่าคงจะมีประโยชน์ ต่อชีวิตประจำวันสำหรับทุกท่านไม่น้อยทีเดียว เพราะเหตุว่าในชีวิตประจำวัน แต่ละวันของปุถุชนทั่วไป ก็ย่อมจะต้องมีสภาพธรรมประเภทหนึ่ง ชื่อว่า<b> "ริษยา"</b> เกิดกับจิตได้ขณะใดขณะหนึ่ง....ริษยาเป็นนามธรรมเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกับจิต และดับพร้อมกับจิต ริษยาเจตสิกเป็นสภาพธรรมฝ่ายอกุศล มีอารมณ์ที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นเหตุปัจจัย และเป็นแดนเกิด เมื่อริษยามีกำลังมากขึ้น ก็สามารถที่จะทำให้บุคคลนั้น ประกอบอกุศลกรรมได้ ดังมีตัวอย่างต่อไปนี้<br />
<br />
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงลาวคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า เธอได้เบอร์โทรของสมาคมไทย-กวนอิม-สวิตเซอร์แลนด์ มาจากเพื่อนคนไทย เหตุผลที่โทรมาหาฉัน ก็เพราะว่าเธอมีปัญหาซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ด้วยตนเองได้.....ผู้หญิงคนนี้ชื่อ "ดวง" (นามสมมติ) ฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่พอได้ยินเธอบอกว่ามีปัญหาซึ่งไม่สามารถแก้เองได้ จึงได้โทรมาหาฉัน เผื่อบางทีฉันอาจจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง เพราะเพื่อนคนไทยเล่าให้ฟังว่า ฉันสามารถสื่อติดต่อกับวิยญาณ กับเทพและเทวดาได้ ด้วยพลังจิต เธอเลยคิดว่าอาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย จึงได้ตัดสินใจโทรมา<br />
<br />
ฉันได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงชื่อดวง ได้ระบายเรื่องราวปัญหาของเธอตามอัธยาสัย เธอเริ่มเล่าประวัติของตนเองว่า เริ่มแรกก่อนที่จะมาแต่งงานกับคนสวิส เธอได้แต่งงานกับคนไทยและอยู่ที่เมืองไทย เธอเป็นพวกคนลาวอพยพ เคยอาศัยอยู่ที่เมืองไทย ๕ ปี จึงพูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนคนไทย อยู่ร่วมชีวิตกับสามีไทยได้ ๒ ปี ก็ต้องเลิกแยกทางกันเดิน เพราะเหตุว่ามีทัศนะต่างกันมาก ต่อมาได้มีเพื่อนคนไทย ที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ได้ชักชวนให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ บังเอิญได้รู้จักกับพ่อหม่ายคนหนึ่งเป็นชาวสวิส เลยตัดสินใจแต่งงานด้วย อยู่ด้วยกันไม่ถึงปี ก็มีลูกสาวผู้มีบุญหนักมาเกิดด้วย เธอบอกว่าก่อนที่จะตั้งครรภ์ ได้ไปขอลูกสาวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ได้ลูกสมดังปรารถนา จึงคิดว่าลูกต้องเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในอนาคต ลูกสาวเป็นเด็กที่เลี้ยงยากมาก ๆ ตั้งแต่เกิดมา ต้องฝากพยาบาลดูแลเลี้ยงให้ อยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเดินได้ จึงรับกลับบ้านมาเลี้ยงเอง.....<br />
<br />
ดวงเล่าเรื่องชีวิตของเธอ เล่าไปเรื่อย ๆ ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ออกเสียงรับ อือบ้าง ออบ้าง จ๊ะบ้าง ก็แล้วแต่จังหวะ ฟังจนเมื่อยก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เล่ามาตั้งเยอะแยะก็ยังไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร ฉันเลยตัดบทเอาดื้อ ๆ เลยว่า "คุณดวง...คุณมีปัญหาจะให้ช่วยอะไรก็บอกตรง ๆ ได้เลยนะ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย" พอได้ยินเช่นนั้น เธอรีบตอบรวบรัดเลยว่า "ปัญหาของลูกสาว ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ" ฉันจึงบอกเธอว่า "งั้นก็เอาอย่างนี้ดีกว่าน่ะ พาลูกสาวมาหาฉันที่สมาคมได้มั้ย" เธอตอบตกลงทันที ถ้าฉันปล่อยให้เธอเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งวันก็คงไม่จบแน่ เพราะรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนมีอุปนิสัยชอบเจรจาจ๊ะจ๋า เป็นอันว่าเธอตกลงจะพาลูกมาหาฉันในวันรุ่งขึ้น....ฉันก็รู้สึกตื่นเต้น ยังไม่รู้จะเจออะไร !!<br />
<br />
ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ดวงได้นำลูกสาวมาหาฉันตามนัด ลูกสาวเธออายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่โรงชั้นมัธยมปีที่ ๒ ที่โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ลูกของดวงมีชื่อว่า "ดวงตา" เป็นเด็กหน้าตาสวยมีเสน่ห์ ผมดำ ผิวสีชมพู รูปร่างสูงได้สัดส่วน ตัวโตเกินวัย พูดไทยเก่งเพราะชอบคลุกคลีกับครอบครัวคนไทย แม่ชอบพาไปเล่นกับลูกคนไทย....ฉันได้ถามหนูดวงตาว่า "ทำไมหนูไปเรียนที่โรงเรียนประจำ โรงเรียนใกล้ ๆ บ้านไม่มีหรือ" เธอตอบว่า "ตาไม่อยากอยู่กับแม่เพราะแม่ชอบบังคับโน่นบังคับนี่" เด็ก ๆ ก็มักจะไม่ชอบพ่อแม่ที่บังคับให้ทำตามใจพ่อแม่ เพราะเขาไม่เข้าใจความรักและความห่วงใยของพ่อแม่ จึงคิดว่าความหวังดี ความจริงใจของพ่อแม่ เป็นการบังคับเป็นการฝืนจิตใจเขา.....<br />
<br />
ในที่สุดก็ไม่สามารถจะอยู่กับพ่อแม่ได้ จึงต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประจำ นาน ๆ ครั้งค่อยเจอกันจะได้ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทให้ทุกข์ใจ ถึงกระนั้นหนูดวงตากับพ่อแม่ ก็ยังมีเรื่องขัดเคืองใจกันทุกครั้งที่พ่อแม่ไปรับมานอนที่บ้านในวันสุดสัปดาห์ หนูดวงตาเล่าต่ออีกว่า เธอมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อเจนนี่ เธอสวยมากและเรียนเก่งด้วย มารยาทก็ดี มาจากครอบครัวฐานะดี เจนนี่เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ทุกคน และเป็นที่รักของเพื่อน ๆ ด้วย เป็นเหตุให้หนูดวงตา ไม่ค่อยชอบเจนนี่อย่างจริงใจ แต่ก็ไม่อยากคบคนที่ฐานะแย่กว่าตนเอง เลยคบกับเจนนี่มาตั้งแต่เห็นกันวันแรก ตอนนี้อยู่ปีที่ ๒ ก็ยังคบกันอยู่ พอเล่าถึงประโยคท้ายนี้ รู้สึกว่าน้ำเสียงเครือ ๆ เสียงของเธอเบาลง จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ และมีน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้างด้วย เธอเอ่ยต่อไปว่า "คุณป้าค่ะ...ตาปวดหัวไหล่ข้างขวามา ๓ เดือนแล้ว บางครั้งที่ข้อมือข้างขวาบวมและปวดมาก ไปให้หมอทำ x-ray ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ทานยาแก้ปวดก็ไม่หายค่ะ หนูไม่สามารถเรียนหนังได้ ต้องหยุดพักการเรียนบ่อยมาก ช่วยหนูด้วยนะคะ" ฉันได้ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสาร อยากจะช่วยเธอให้หายทุกข์ทรมานซะที แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม เป็นผลของการกระทำของเธอเอง เธอจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว เรื่องกรรมและผลของกรรม (วิบาก) นี้เป็นเรื่องที่ยุติธรรมมาก ทำอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้นแน่นอน<br />
<br />
ขณะที่กำลังฟังเรื่องราวที่เด็กเล่าอยู่นั้น จิตของฉันก็ได้สัมผัสกับวิญญาณตนหนึ่ง ซึ่งสิงอยู่ที่ในตัวของเด็กหญิงผู้มีความริษยาเพื่อนผู้นี้ แต่ก็ยังไม่ทราบหรอกนะ ว่าเป็นใคร จึงสั่งให้เธอนอนหงายลงกับพื้นห้อง ต่อหน้าองค์พระแม่กวนอิม ให้หลับตาอยู่ในความสงบ เพราะว่าฉันจะต้องใช้พลังจิตสื่อกับญาณพระแม่กวนอิม ถามเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวเด็ก ว่าเขาต้องการอะไร ก็ได้ความว่าวิญญาณนี้เป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกับหนูดวงตา เขาเพิ่งเสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย ฉันจึงได้ถามดวงตาว่า "ที่โรงเรียนมีคนผูกคอตายมั้ย" เธอตอบทันทีว่า "มีค่ะ เพื่อนหนูที่ชื่อเจนนี่ เขาโกรธหนูมากที่หนูชอบแกล้งเขา จนทำให้ครูและเพื่อน ๆ เข้าใจเจนนี่ผิด เจนนี่เป็นคนไม่ชอบทะเลาะกับใคร ถ้าใครทำให้ผิดใจ เขาก็จะคิดแต่จะทำร้ายตัวเอง"<br />
<br />
วิญญาณนี้เคยเป็นเพื่อนของเด็กดวงตา เขาอาฆาตมาก เพราะตายพร้อมกับโทสมูลจิต เมื่อตายแล้วก็ยังติดตามเพื่อนอยู่ ทำให้เพื่อนเจ็บป่วย กินไม่ได้นอนไม่หลับ และยังทำให้ปวดตามหัวไหล่และข้อมือมาตลอด นับตั้งแต่เจนนี่เสียชีวิต หนูดวงตาก็เจ็บป่วยมาตลอด..... ฉันจึงได้สื่อถามวิญญาเจนนี่ว่า"ต้องการอะไรจากเพื่อนชื่อดวงตา" เธอตอบว่า "ต้องการให้ดวงตาสารภาพความจริงให้หมด ว่าได้ทำอะไรไว้กับเธอบ้าง จนเธอถึงกับผูกคอตาย"......หนูดวงตาได้สารภาพว่า.... มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอได้ชวนเจนนี่หนีออกไปเที่ยวนอกโรงเรียนในตอนเย็น แล้วกลับเข้าที่พักในตอนดึก พอถูกอาจารย์จับได้ ดวงตาบอกกับอาจารย์ว่า เจนนี่เป็นคนชวนเธอไปเที่ยว ในที่สุดเจนนี่ก็ได้รับการลงโทษอย่างหนัก ขั้นถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องใต้ดิน ๒๔ ชั่วโมง ต่อมาภายหลังเมื่อครบกำหนดพ้นโทษ ปรากฏว่าเธอได้ผูกคอตายมาหลายชั่วโมงแล้ว ในห้องนั้นเอง.....หลังจากที่หนูดวงตาได้สารภาพผิดจนหมดแล้ว เธอบอกว่าอาการที่บวม และปวดที่หัวไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที อย่างไม่น่าเชื่อ เธอบอกว่าเธอเชื่ออย่างไม่สงสัยอีกแล้ว ว่าวิญญาณมีจริง และต่อไปนี้ จะประพฤติตนเป็นคนดี จะไม่เกเร ไม่แกล้งเพื่อน และจะไม่อิจฉาริษยาเพื่อน เพราะได้รู้โทษของ "ริษยา" แล้วว่าเป็นอย่างไร<br />
<br />
เห็นมั้ยค่ะ....ว่าพิษสงของการจองเวร อันเนื่องมาจากอกุศลกรรม ที่ได้กระทำไว้กับผู้อื่น ทำให้ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจมากมายเพียงใด ยิ่งถ้าเป็นเจตนากรรมที่แรงมาก ๆ กรรมจะยิ่งส่งผลรวดเร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก......ทางที่จะรอดจากเวรก็คือ การไม่สร้างอกุศลกรรมด้วยความตั้งใจจงใจ (เจตนา) หันมาสะสมความดีให้มากขึ้น......นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกท่านในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติอยู่เนื่อง ๆ ด้วยการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...สติเป็นธรรมเครื่องคุ้มครอง กาย วาจา ใจ ในที่ทุกสถาน.....ขอยุติเพียงแค่นี้จ๊ะ แล้วพบกันในบทความใหม่นะคะ<br />
<br />
................................................<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-13710042916383131372012-02-13T15:41:00.000-08:002013-04-09T13:26:56.336-07:00กรรมส่งผล<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b>....เป็นยังไงบ้างคะ หวังว่าคงสบายดีกันนะคะ ตั้งแต่ขึ้นปีใหม่มานี่ ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ ตอนนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศหนาวมาก บางวันหนาวมาก ๆ หนาวชนิดทำลายสถิติเมื่อ ๒๘ ปี ว่าหนาวมากแล้วนะ แต่ปีนี้ยังเก่งกว่ามาก ถึงจะมีหิมะตกมากมายขนาดไหน แต่การสัญจรก็ไม่ถึงกับชะงักหรอกนะ เพราะทางเทศบาลเขาบริหารงานดี พอหิมะลงเขาก็รีบนำรถออกกวาดทั้งคืนทั้งวัน แต่ตามบ้านหรือตามสำนักงานบางครั้งก็แย่หน่อย เพราะว่าเครื่องทำความอุ่น ทำงานหนักมากเกินกำลัง ก็ทำให้เสียอย่างกระทันหันได้ กว่าช่างจะมาซ่อมให้ ก็หนาวแทบจะแย่ตาม ๆ กัน อยากรู้ว่าหนาวขนาดไหนก็ลองนึกดูว่า เหมือนกับอยู่ในตู้เย็น หรือไม่ก็ตู้แช่แข็งนั่นแหละ<br />
<br />
วันนี้ฉันก็มีเรื่องมาเล่าสู่กันอ่านอีก เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรรมและผลของกรรม พูดถึงเรื่องกรรม ทุกท่านก็รู้จักกันดีว่า <b>"กรรม"</b> หมายถึงการกระทำ ซึ่งมีการกระทำได้แค่ ๓ ทางเท่านั้น คือ ทางกาย ทางวาจาและทางใจ....คำว่า<b> "กรรม"</b> เป็นนามธรรม ไม่ใช่จิต แต่เป็น <b>"เจตนาเจตสิก"</b> มีลักษณะจงใจ ตั้งใจ ปรารถนา ขวนขวาย เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง ทั้งกุศลจิตและอกุศลจิต....ชีวิตแต่ละวันหนีไม่พ้นกรรมและผลของกรรม ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็จะสามารถสังเกตได้ แม้ขณะนี้กำลังเห็น ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีพอใจ ก็รู้ว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ที่ได้กระทำไว้แล้ว หลังจากที่เห็นแล้ว ก็อาจจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ แล้วแต่จะพิจารณาขณะนั้น ชีวิตก็ดำเนินไปเช่นนี้ทุกวัน ทุกคนมีกรรมและผลของกรรมเป็นของ ๆ ตน <br />
<br />
มีสมาชิกท่านหนึ่ง ยินดีที่จะเผยแพร่เรื่องกรรมและผลของกรรมที่ตนได้ประสบมาด้วยตนเอง....คุณแจ๋วเจ้าของเรื่องที่จะเล่านี้ อดีตเธอเคยเป็นนางพยาบาล อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก เธอเป็นคนสนใจและใฝ่ใจในธรรมท่านหนึ่ง เมื่อมีเวลาว่างก็มักจะไปเข้ากรรมฐานที่วัดกับเพื่อนเสมอ เพราะเธอเห็นประโยชน์ของพระธรรม จึงได้หันมาฟังธรรมและศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจถูก เพื่อความเห็นถูก และเพื่อละความไม่รู้ทีละน้อย จนทุกวันนี้เธอสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข โดยมีธรรมะเป็นที่พึ่ง.....เธอได้เล่าว่า มีอยู่ระยะหนึ่งเธอได้เว้นว่าจากการไปเข้ากรรมฐานปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วคืนวันหนึ่งเธอก็ได้ฝันเห็นพวกหนู ที่เธอเคยเบียดเบียนชีวิตพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงเกิดสำนึกในบาปที่ตนได้กระทำไว้กับพวกหนูเหล่านั้น เธอจึงตั้งใจว่าจะต้องไปเข้ากรรมฐานปฏิบัติธรรมที่วัดสักแห่ง เพื่อที่จะได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกหนูโดยเฉพาะ จึงได้โทรไปชวนเพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งเคยไปเข้ากรรมฐานด้วยกันมาแล้วหลายครั้ง เพื่อนเธอก็ได้ตกลงทันที่ที่คุณแจ๋วชักชวน ทั้งสองคนต่างก็ดีใจที่จะได้ไปสร้างบุญกุศลร่วมกันอีก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ได้มาตัดรอนการบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ซะก่อน เรื่องมีอยูว่า ก่อนวันที่จะไปเข้ากรรมฐาน ๑ วัน เพื่อนของคุณแจ๋วได้โทรมาบอกว่า เธอไม่สามารถจะไปเข้ากรรมฐานด้วยได้ เพราะเหตุว่าเมื่อวานได้ไปตลาด พอกลับถึงบ้าน เธอนึกได้ว่าลืมของไว้ที่ตลาด จึงได้กลับไปที่ตลาด อีกครั้ง พอไปถึงตลาดก็ไปโดนไม้เสียบลูกชิ้นที่วางอยู่บนถนน ทิ่มเข้าที่เท้าลึกมากบาดเจ็บไม่สามารถเดินได้ ต้องให้เวลารักษาหลายวันจึงจะเดินได้ เป็นอันว่าคุณแจ๋วก็ต้องเลื่อนการเข้ากรรมฐานให้หนู ไปจนกว่าเพื่อนของเธอเท้าหายเป็นปรกติ<br />
<br />
จะเห็นได้ว่า เรื่องกรรมและวิบากกรรมนี้ เป็นเรื่องที่วิจิตรมาก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องนามธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เราเกิดมาหลายภพหลายชาติ ได้กระทำกรรมทั้งดีและกรรมไม่ดีมาแล้วก็มากมายหลากหลาย ไม่สามารถที่จะระลึกได้ว่าทำอะไรมาบ้างในแต่ละชาติ แม้แต่ชาตินี้เราก็ยังไม่สามารถจำได้ว่า ได้กระทำอะไรบ้าง กรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ บางอย่างให้ผลในชาติถัดไป บางอย่างให้ผลในหลาย ๆ ชาติ แล้วแต่เหตุปัจจัยและกาลเวลาพร้อมแล้วที่จะส่งผล ๆ ก็ย่อมจะปรากฏ โดยไม่มีผู้ใดจะสามารถยับยั้งได้ ดังตัวอย่างเพื่อนของคุณแจ๋ว ตั้งใจจะไปประกอบกรรมดี แต่ดันมาประสบกับอกุศลวิบากส่งผล อกุศลวิบากได้ส่งผลให้เป็นทุกข์กาย ทำให้ไม่สามารถที่จะไปกระทำกรรมดีใหม่ได้ ส่วนคุณแจ๋วนั้นก็ตั้งใจจะไปทำกรรมดี เพื่อที่จะได้อุทิศส่วนกุศล ให้แก่พวกหนูที่ตนได้เคยเบียดเบียนเขา แต่ว่าเหตุปัจจัยยังไม่พร้อม ที่จะได้กระทำกรรมดี ก็เลยยังไปไม่ได้ และพวกหนูก็เช่นกัน ยังไม่มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะได้บุญ ก็ต้องรอกันตอ่ไปจนกว่าจะมีเหตุปัจจัยพร้อม ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นไปดังที่ตนปรารถนาได้ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา<br />
<br />
สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เพื่อให้ทุกท่านใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นฟังธรรมศึกษาธรรมเพื่อละความไม่รู้ และอบรมเจริญความเห็นถูกและความเข้าใจถูกให้มากขึ้น ก็จะประสบกับความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้าได้ตามกำลังของกุศล.....เรื่องนี้ก็ยุติเพียงแค่นี้ ขอขอบคุณ คุณแจ๋วที่ยินดีให้เผยแพร่เรื่องนี้ ....แล้วพบกันอีกนะค่ะ</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-24285629395413622912011-12-13T06:29:00.000-08:002013-03-13T15:43:20.473-07:00หนี้กรรม (ตอนที่ ๓)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....อ่านเรื่องหนี้กรรมตอนที่ ๑ จบไปแล้วรู้สึกจิตใจเป็นอย่างไรบ้างคะ คงจะสงสารหนูมากกว่าสมน้ำหน้านะคะ หนูก็มีวิบากกรรมเหมือนกับคน เพราะเหตุว่ามีขันธ์ ๕ เหมือนกัน การที่ได้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เพราะผล (วิบาก) ของอกุศลกรรมมีกำลังมากกว่าผลของกุศลกรรม เมื่อเกิดเป็นสัตว์ก็ไม่สามารถที่สร้างบุญกุศลอะไรได้เหมือนกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีขันธ์ ๕ เหมือนกัน ก็จะมีแต่เวียนวายตายเกิดอยู่ในอบายภูมิเรื่อยไป จนกว่าผลของกุศลกรรมในชาติก่อน ๆ จะส่งผลใก้เกิดในภูมิมนุษย์ <br />
<br />
วันนี้ก็จะขอเล่าเรื่องหนี้กรรมต่อเลยนะคะ เพื่อไม่ให้เสียเวลารอคอยกันนานนัก บางท่านก็อาจจะรอมาหลายวันแล้ว เพราะอยากจะทราบว่าหลังจากพวกหนูมันตายกันหมดแล้ว ยังจะมีพิษสงอะไรอีก กรรมที่ได้กระทำไปแล้วย่อมมีผลทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะส่งผลเมื่อไร เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะให้ผลของกรรมเกิด ผลของกรรมก็ย่อมเกิด ถ้าเป็นกรรมที่มีกำลังแรงเพราะเหตุว่ากระทำด้วยความเจตนา ผลหรือวิบากกรรมก็ย่อมส่งผลเร็วกว่ากรรมที่ไม่มีเจตนา.....เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครับของคุณหน่อยและคุณพิชัยก็คือ หลังจากที่หนู ๔ ตัว ได้ตายด้วยกาวเหนียว ๆ ดูดแน่น ไม่มีใครสามารถช่วยได้ คุณหน่อยเองก็ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าหนูเหล่านี้หรอกนะ แต่ว่าคงจะเป็นวิบากกรรมของพวกหนูด้วย จึงต้องมาตายในลักษณะนั้น กรรมที่คุณหน่อยได้กระทำสำเร็จไปแล้วนั้น ได้ส่งผลอย่างรวดเร็วเกินคาด<br />
<br />
มีอยู่วันหนึ่งหนูตุ๊กตาลูกสาวคนเล็กวัย ๕ ขวบ หลังจากเลิกเรียนโรงเรียนอนุบาล พอกลับถึงบ้านก็คงจะหิว<br />
มาก จึงรีบรี่เข้าไปในครัว ตอนนั้นยังอยู่ในชุดนักเรียนน่ะ ยังไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอได้ปีนขึ้นเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารในครัว เพื่อจะเอาของกิน (ขนม) เธอยังเด็กและตัวเล็กมาก ไม่ได้คิดอะไร รู้แต่ว่าหิวก็จะเอาของกินให้ได้ เก้าอี้ที่เธอปีนขึ้นไปนั้น ได้มีกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่ มันก็เป็นเรื่องที่แปลกดีนะ ที่กระติกน้ำร้อน ต้องมาตั้งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่หนูน้อยตุ๊กตาต้องการจะปีน ทำไมหนูตุ๊กตาต้องเจาะจงปีนเก้าอี้ตัวที่มีกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่ เก้าอี้ตัวอื่นที่ว่างก็มี และตามปรกติกระติกน้ำร้อนก็จะตั้งอยู่บนโต๊ะ แต่วันนั้นกลับดันมีคนเอามาตั้งไว้บนเก้าอี้ หนูตู๊กตาก็ไม่ได้สนใจกระติกน้ำร้อนเลย สนใจอย่างเดียวคือเรื่องของกิน บังเอิญพอปีนขึ้นไป ยังไม่ทันที่จะยืนบนเก้าอี้ กระโปรงเจ้ากรรมทำเรื่องอย่างช่วยไม่ได้เลย มันไปปัดเอากระติกน้ำร้อน เสียหลักทั้งคนและกระติกน้ำ เลยร่วงหล่นลงมาพร้อมกัน ร่างน้อย ๆ ได้ตกลงมานอนฟุบอยู่กับพื้นห้องอย่างไม่เป็นท่า กระติกน้ำก็หล่นลงมากระทบกับพื้นด้วยความแรง เกิดเสียงดังสนั่นลั่นบ้าน ฝาปิดกระติกน้ำกระเด็นไปคนละทิศคนละทางกับตัว น้ำร้อนในกระติกซึ่งร้อนมาก ๆ ได้ไหลทะลักออกมาลวกขาน้อย ๆ ทั้งสองข้างของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา เธอได้ร้้องไห้ครวญครางด้วยความเจ็บปวดร้อนปวดแสบอย่างสาหัส แผลเหวอะหวะน่ากลัวมาก พ่อแม่ของเธอจึงได้รีบนำเธอส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว....<br />
<br />
ระหว่างที่รอการตรวจเช็คจากแพทย์ทางโรงพยาบาล คุณหน่อยได้เล่าว่า เธอได้เห็นหนูวิ่งผ่านหน้าเธอไปเป็นแถวหลายตัว เธอนึกขึ้นได้ว่า หนูพวกนี้ไม่ใช่หนูธรรมดา มันเป็นหนูที่จองเวรเธอ เธอทราบดีว่าที่ลูกสาวเธอต้องโดนน้ำร้อนลวกเจ็บแสบแสนทรมานอยู่ขณะนั้น มันเป็นอาการเหมือนที่พวกหนูเขาเป็นมาแล้ว พวกพ่่อแม่หนูเขาคงจะอาฆาตพยาบาทมากที่ลูกของเขาต้องตายด้วย ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กของคุณหน่อยและคุณพิชัย ก็ได้รับใช้หนี้กรรมที่แม่ของเธอได้กระทำไว้กับพวกหนู โดยไม่มีทางเลี่ยงเลย...... หนูตุ๊กตาต้องนอนรักษาแผลน้ำร้อนลวก อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานถึง ๒ สัปดาห์ แผลจึงจะค่อย ๆ ดีขึ้น....คุณหน่อยได้เล่าว่า ขณะนั้นที่เธอนอนเฝ้าลูกสาวอยู่ที่โรงพยาบาล พวกหนูก็ได้พากันมาปรากฏตัวให้เธอเห็นอยู่บ่อย ๆ คนอื่นก็ไม่มีใครเห็นด้วย เธอเห็นคนเดียว เห็นหนู ๔ ตัววิ่งอยู่ที่พื้นห้อง ทั้ง ๆที่ห้องนอนของโรงพยาบาลก็สะอาดดี ไม่น่าจะมีหนูมาซุกซ่อนอยู่ในที่นั้นได้ แต่ทว่าหนูพวกนี้เขาวิ่งผ่านหน้าแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว เธอคิดว่าคงจะเป็นวิญญาณของพวกหนูที่ยังอาฆาตเธออยู่ จึงได้สวดมนต์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้พวกหนูทุกตัว ขอให้พวกเขามีความสุข อย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป หลังจากนั้นมาเธอก็ไม่เคยเห็นวิญญาณของพวกหนูเหล่านั้นอีกเลย ส่วนลูกสาวของเธอนั้น แผลที่ขาทั้งสองข้างก็ได้รับการรักษาเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแผลเป็นด่าง ๆ ทั้งสองข้าง บางครั้งก็จะมีอาการคันนิด ๆ<br />
<br />
...นี่แหละค่ะความวิจิตรของวิบากกรรม เราไม่สามารถทราบได้เลยว่า ผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในหลาย ๆ ชาติ จะส่งผลและปรากฏเมื่อไร เพราะฉะนั้นจึงควรเจริญสติอยู่เนื่อง ๆ เพื่อกั้นกระแสกิเลสไม่ให้ครอบงำจิต ควรเจริญกุศลกรรมให้มาก......เรื่องหนี้กรรมนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ระลึกเสมอว่า <b>เราไม่ควรเบียดเบียนสัตว์ กรรมและผลของกรรมมีจริง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม</b>......ครอบครัวของคุณหน่อยและคุณพิชัยเป็นครอบครัวที่มีฐานะและหน้าที่การงานดี มีลูก ๆ หน้ารักและว่านอนสอนง่าย ทุกคนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สวดมนต์ภาวนาสม่ำเสมอทั้งครอบครัว หลังจากที่ได้ชดใช้หนี้กรรมกับหนูไปแล้ว ชีวิตครอบครัวก็มีความสุขและราบรื่นดี มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานดี เพราะเป็นคนอยู่ในศีลในธรรมกันทั้งครอบครัว.....สำหรับเรื่อง<b> "หนี้กรรม"</b> กับหนูก็ขอจบเพียงแค่นี้จ๊ะ.....<b>ขอทุกท่านจงมีความสุขใจ ด้วยการเป็นผู้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเถิด </b></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-71165663064741575852011-12-06T05:58:00.000-08:002013-03-13T15:30:24.782-07:00หนี้กรรม (ตอนที่ ๑)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b>....วันนี้พบกันอีกเช่นเคย ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ จ๊ะ ที่ได้ติดตามอ่านบทความของฉันมาโดยตลอด หวังว่าท่านคงไม่เบื่อ<b> "กฏแห่งกรรม"</b> นะคะ .....ชีวิตวัน ๆ ก็หนีไม่พ้นกฏแห่งกรรม ถึงเบื่อยังไง ๆ ก็ต้องเจอจ๊ะ เพราะเหตุว่าเราเกิดมาก็ด้วยผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วแต่ชาติปางก่อน จึงได้มาเสวยผลของกรรมดีและกรรมชั่วในชาตินี้ ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้....สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน กรรมทุกอย่างมีผลหรือวิบาก ซึ่งจะส่งผลแล้วแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วแต่กาลเวลาพร้อมที่จะให้กรรม แต่ละประเภทส่งผล......การกระทำกรรมต่าง ๆ นั้น กระทำได้เพียง ๓ ทางเท่านั้น คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ สำหรับทางใจนั้น จะสำเร็จให้ผลเป็นวิบากกรรมได้ ก็ต่อเมื่อครบองค์ คือการกระทำนั้นแสดงออกมา เป็นการกระทำทางกายหรือทางวาจา....ผลหรือวิบากกรรมย่อมเป็นไปตามกฏแห่งกรรม<br />
<br />
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า <b>"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"</b> ....บางท่านอาจจะคัดค้านในใจว่า ไม่จริ้งไม่จริง เห็นบางคนทำชั่วร้ายมากมาย ก็ยังไม่เห็นทุกข์ยากลำบากเลย นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะเหตุว่า ผลของกุศลกรรมในชาติก่อนมีกำลังแรงกว่า จึงส่งผลให้เขาได้เสวยสุขในชาตินี้ ส่วนผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นก็จะส่งผลแน่นอน เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะส่งผล คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ ได้กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไว้มากมายแค่ไหน ไม่มีใครสามารถทราบได้ ต่อเมื่อตนได้รับความเดือดร้อน ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจนั่นแหละ จึงจะทราบได้ว่า ผลของกรรมได้ปรากฏแล้ว เวลามีโชคลาภหรือประสบกับความสำเร็จสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนปรารถนา ก็คิดว่าเป็นเพราะว่าตนได้ทำบุญทำทานสม่ำเสมอ ที่จริงแล้วไม่เสมอไป การที่ผลของบุญทานในชาตินี้ ที่ได้กระทำแล้ว จะส่งผลช้าหรือรวดเร็วนั้น ขึ้นอยู่ที่กำลังของกรรมนั้น ๆ ถ้าเป็นกรรมที่มีกำลังแรงมาก ก็ส่งผลในชาตินี้ได้ และอาจจะส่งผลรวดเร็วเกินคาดได้เหมือนกัน.....ฉันมีเรื่องน่าสนใจจากสมาชิกที่เมืองไทยท่านหนึ่ง ได้เล่าให้ฟังเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม ซึ่งได้ส่งผลเร็วเกินคาด ฉันคิดว่าน่านำมาเขียนเล่าเป็นวิทยาทานและเป็นคติเตือนใจแก่ทุกท่านด้วยว่า การกระทำกรรมกับสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนมากได้เหมือนกัน ขึ้นชื่อว่ากระทำอกุศลกรรมย่อมนำความทุกข์มาให้ทั้งสิ้น<br />
<br />
ครอบครัวคุณพิชัย (น้องชายของคุณอรุณ ซันทุคซีรองประธานสมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) มีบ้านอยู่ติดกับโรงงานผลิตเต้าหู้ยี้ โรงงานนี้มักจะสร้างปัญหา ให้แก่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณย่านนั้น เสมอ ๆ เพราะเหตุว่าเต้าหู้ยี้ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนจมูกชาวบ้านเป็นประจำทุกวัน......นี่ก็เป็นอกุศลวิบากกรรมอย่างหนึ่ง คือเป็นอกุศลวิบากทางจมูก ถ้าหากว่าได้กลิ่นที่ดี ก็เรียกว่ามีกุศลวิบากกรรมทางจมูกดี เรื่องของวิบากกรรมไม่มีผู้ใดกำหนดได้ เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม ที่ได้กระทำไว้เรียบร้อยแล้ว มีวิธีเดียวคือ ยอมรับตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ ยอมรับว่า...<b>."ทุกอย่างเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้ใด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา" </b>ถ้าฝึกสติระลึกได้เช่นนี้อยู่เนื่อง<b> ๆ </b>ก็จะสามารถอยู่กับความทุกข์ได้อย่างไม่ทุกข์มากอีกต่อไป....คุณหน่อยภรรยาของคุณพิชัยได้เล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านแถบนั้นมีปัญหาเรื่องกลิ่นเต้าหู้ยี้รบกวนโทสะเป็นประจำยังไม่พอ ยังต้องประสบกับปัญหาหนักเกี่ยวกับ <b>"หนู"</b> ทุกบ้านโดนพวกหนูแอบลักลอบ เข้ามาร่วมอยู่อาศัยด้วย จึงต้องพากันคิดหาวิธีขับไล่หนู ๆ ทั้งหลาย ด้วยวิธีต่าง ๆ นานา ปราบเท่าไรก็ไม่หมด ยิ่งปราบก็ยิ่งดูเหมือนว่า จะมีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่ามันแพร่พันธุ์กันอย่างรวดเร็วมาก.....วิธีปราบสัตว์บางอย่าง มนุษย์คิดว่าไม่โหดร้ายมาก แต่ก็อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับสัตว์ตัวน้อย ๆ ก็ได้ คุณหน่อยเล่าว่า เธอได้ใช้วิธีปราบหนูด้วยการเอากาวเหนียว ๆ ทาที่กระดาษแข็ง แล้ววางดักไว้ตรงที่พวกหนูมันชอบออกมาปรากฏตัว มาหากินเศษของเหลือในบ้านหรือในครัว ก็แล้วแต่โอกาสจะอำนวย<br />
<br />
การปราบหนูด้วยวิธีใช้กาวเหนียว ๆ ฉันคิดว่าคงจะเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเหมือนกัน แต่ว่า...คงจะโหดน่าดูเลย ถ้าเจ้าหนูเคราะห์ร้ายเผลอไปเหยียบกาวเข้า แก่ก็ไม่มีทางเลือกเลยนะ มีทางเดียวคือแกต้องจำนนต่อความตายอย่างแน่นอน....คุณหน่อยเล่าว่า พวกหนูมันก็เดินมาติดกาวกันเป็นแถวเลย ตั้ง ๔ ตัว ติดหนึบเหนียวแน่นชนิดไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนตีนน้อย ๆ ของมันได้เลย พวกครอบครัวหนูคงจะตั้งใจพากัน ออกมาหากิน จึงออกมาจากที่หลบซ่อนกันทั้งครอบครัว แหม..ดูพวกเขามีความสุขดีเน๊าะ ความสุขก็ไม่เที่ยง เผลอแผล็บเดี๋ยวความสุขหายไป กลายเป็นซวยกันหมดทั้งครอบครัว อย่างไม่น่าเชื่อ.....พอคุณหน่อยเห็นครอบครัวหนูติดกับดักเสียท่า เธอเห็นแล้วก็เกิดความเมตตาสงสาร แต่ว่าเมตตามาช้าไปหน่อย เธอพยายามที่จะช่วยหนูทั้งสี่ชีวิต ให้พ้นจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน กับการจมอยู่ในกาวเพชรฆาต เธอได้พยายามเอานิ้วมือค่อย ๆ แกะตีนน้อย ๆ ออกจากกาวที่เหนียวเหนอะหนะ แต่ก็สุดวิสัยจริง ๆ ความเหนียวของกาวได้ดูดและยึดตีนของหนูพ่อแม่และลูก ๆ ไว้อย่างแน่นเฉียบ ขณะที่คุณหน่อยพยายามจะช่วยพวกหนู ๆ ให้พ้นทุกขเวทนาอยู่นั้น พวกเขาก็ได้จ้้องมองเธอด้วยแววตาที่น่าสงสารมาก คงจะเจ็บปวดมาก....ในที่สุดหนูทั้งสี่ชีวิตก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงสิ้นลมหายใจไปทีละตัวในที่สุด มีหนูตัวหนึ่งคงจะเป็นพ่อหรือแม่หนูก็ไม่ทราบ ก็เดากันเอาเองก็แล้วกันว่าใครอาฆาตมากกว่ากัน เขาได้จ้องหน้าเขม่งมาที่คุณหน่อยด้วยแววตาที่อาฆาตมาดร้าย จนคุณหน่อยเกิดความรู้สึกกลัว ๆ จะเจอผลของกรรม เพราะเธอเป็นผู้เจตนากระทำกรรมไว้กับพวกหนูทั้ง ๔ ตัว หลังจากนั้นคุณหน่อยก็ได้จัดการกับซากศพของครอบครัวหนูผู้น่าสงสารเหล่านี้ ด้วยการนำไปทิ้งลงในถังขยะทันที<br />
<br />
เหตุการณ์ตายอย่างอนาถของครอบครัวหนู ได้ผ่านไปประมาณ ๓ วันเท่านั้น ครอบครัวของคุณหน่อยและคุณพิชัยก็ได้ประสบกับอกุศลวิบากกรรมที่ตนได้กระทำไว้......ท่านผู้อ่านค่ะ เรื่องราวต่อไปนี้ก็กำลังตื่นเต้นน่าดู ฉันต้องขออภัยอย่างมากด้วย ที่ต้องยุติไว้แค่นี้ก่อน เพราะหมดหน้ากระดาษตามที่กำหนดไว้พอดีจ๊ะ ....คอยติดตามอ่านตอนต่อไปอีกนะจ๊ะ<br />
<br />
<br /></div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-72660938955652413212011-12-01T07:20:00.000-08:002013-04-09T13:19:07.283-07:00ชะตากรรม<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน </b> หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ ท่านที่อยู่ในเมืองไทยก็คงจะคลายเครียดคลายทุกข์ เกี่ยวกับปัญหาภัยพิบัติกันไปบ้างแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย ฉันก็ขอเอาใจช่วย ขอให้บ้านเมืองไทยของเรา จงผ่านพ้นวิกฤตการณ์ภัยพิบัติทั้งหลายไปด้วยดีเถิด ฉันอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์แดนไกลแต่ก็เหมือนใกล้น่ะ เพราะเหตุว่าโลกปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีทันสมัยมาก การติดต่อสื่อสารรวดเร็วทันใจ โลกอินเตอร์เน็ตโลกออนไลน์ ใคร ๆ ก็รู้จักดีมีทั้งคุณและโทษ บุคคลบางกลุ่มใช้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น บางคนก็ใช้เป็นสนามรบหรือใช้เป็นสถานที่อะไรก็ได้แล้วแต่กิเลสจะนำไป ๆ ถึงแม้ว่าโลกจะเจริญมากมายเพียงใด แต่เราก็ไม่สามารถที่จะหนีพ้น กฏแห่งธรรมชาติและกฏแห่งกรรมไปได้เลย เราจะต้องประสบกับความไม่เที่ยง ความทุกข์ และไม่สามารถที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปรารถนาดังใจ....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า <b>"สัพเพธัมมา อนัตตา"</b> แปลว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของใคร....ทุกคนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....<br />
<br />
สำหรับบทความวันนี้ ฉันก็จะขอนำเรื่องเกี่ยวกับกรรมและผลของกรรม (วิบากกรรม) ของผู้หญิงคนหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ....ท่านที่ยังไม่ได้เริ่มสะสมเสบียงไว้ติดตัวในภายหน้า เกิดมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ที่อกุศลวิบากกรรมมาตัดรอนอย่างกระทันหัน ต้องเดินทางด่วนสายเดี่ยวคนเดียว จะทำอย่างไรหนอ !!....ตอนนี้ก็ยังท่องเที่ยงเพลิดเพลินยินดีพอใจ ติดข้องต้องการอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ติง และก็ความนึกคิดกุศลบ้าง อกุศลบ้างผ่านไปวัน ๆ ไม่รู้จักพอ......ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งในต่างแดนที่ฉันจะเล่านี้ ก็เป็นชีวิตที่เป็นไปในกามคุณเหมือนเราท่านทั้งหลายเช่่นกัน เพราะเหตุว่าเรายังอยู่ในกามภูมิกันอยู่ ยังเป็นปุถุชนกันอยู่นั่นเอง <br />
<br />
ฉันได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ<b> "นิ่ม" </b>(นามสมมติ) รู้จักมาได้เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ตอนนั้นเธอเพิ่งมาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ และได้แต่งงานกับชาวสวิสได้ปีเศษ ๆ เธอเป็นคนหน้าตาดีมีหุ่นสวย ชอบแต่งตัวหวือหวาท้าทายกิเลสพวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย เธอจะพอใจและสุขใจมาก ถ้ามีคนมาหลงรัก อาชีพประเดิมเริ่มแรกหลังจากที่ได้สิทธิ์ในการทำงานแล้ว ก็คืองานในโรงงานแห่งหนึ่ง นับว่าโชคดีมากทีเดียวเพราะว่าการที่จะได้เป็นสาวโรงงานในเมืองนอก ก็ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่าย ๆ<br />
<br />
ต่อมาไม่นานนักโชคชะตากรรมได้เปลี่ยนชีวิตของนิ่ม จากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะว่าเรื่องกรรมเป็นเรื่องที่ยุติธรรมมากทีเดียว กรรมใดที่ได้กระทำไว้แล้วย่อมมีผล และผลของกรรมก็ไม่ต่างไปจากกรรมนั้น ไม่มีใครต่อรองผลของกรรมได้เลย เราไม่ทราบว่าผลของกรรมจะส่งผลเมื่อไร เป็นกุศลวิบากกรรมหรืออกุศลวิบากกรรม ก็ไม่อาจทราบได้ล่วงหน้า ผู้ที่จะอยู่เหนือกรรมได้ก็จะต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอบรมเจริญปัญญา จนสำเร็จบรรลุขั้นพระอรหันตผลนั่นแหละ จึงจะหนีวิบากกรรมของตนได้....สาวนิ่มผู้นี้หารู้ไม่ว่า สามีของตนได้แอบมีผู้หญิงอื่น เช่นเดียวกับเธอที่ชอบแอบมีคนรัก จนในที่สุดชีวิตคู่ก็ต้องจบลง ด้วยการหย่าขาดจากกันโดยสิ้นเชิง....ดวงชะตานี่ช่างไม่สงสารเธอบ้างเลย ยังไม่ทันเผลอเลยโดนซ้ำอีกรอบ......หลังจากที่ต้องเป็นหม่ายอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวไม่นานนัก เธอก็ได้ถูกทางโรงงานให้ลาออกจากงาน เพราะเหตุว่าช่วงนั้นบริษัทกำลังจะเจ๊ง เขาจึงมีการลดปริมาณคนทำงานลง....ดวงของสาวนิ่มนี่ก็แปลกแต่จริง บางครั้งดูเหมือนว่าจะแย่มาก ๆ แต่ก็ยังมีโชคเข้าข้างเหมือนกันน่ะ คงจะเป็นเพราะชนกกรรมคอยตามช่วยเธอเสมอ จึงไม่ถึงกับแย่ยับอับโชค เธอได้ไปสมัครทำงานใหม่ ที่ร้านอาหารไทยชื่อดังแห่งหนึ่ง อยู่ใกล้ ๆ เมืองที่เธออาศัยอยู่ เจ้าของร้านอาหารเห็นว่าเป็นคนหน้าตาดี และมีมรรยาทดีด้วย จึงได้รับไว้ทำงานเป็นพนักงานเสริฟและรับออร์เดอร์ เธอขยันทำงานและรับผิดชอบดีมาก จนเจ้าของร้านไว้วางใจ ทำงานได้ไม่นานนัก เจ้าของร้านได้แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการฝ่ายบริการทั้งหมด......<br />
<br />
ตอนนี้เป็นช่วงที่สาวนิ่มกำลังรุ่งเรืองอีกครั้ง เพราะมีรายได้ดีพอสมควร เธอมีเพื่อนมากมายทั้งหญิงชาย ทั้งไทยและฝรั่ง เพราะว่าเธอเป็นคนใจกว้างไม่มีขอบเขต มีนิสัยชอบเลี้ยงไม่อั้น ใคร ๆ ก็รู้จัก<b> "นิ่ม" </b>นอกจากนั้นยังใจบุญ ชอบทำบุญไม่อ้ัน เธอชอบสวดมนต์ฟังธรรม มีความเชื่อในเรื่่องเร้นลับมาก จนบางครั้งดูเหมือนว่างมงายและเพ้อเจ้อ.....ชีวิตของเธอในช่วงที่ทำงานร้านอาหารไทยนี้ ดูเหมือนว่าจะรุ่งเรืองดี จนลืมคิดว่าสักวันหนึ่ง ดวงอาจจะรุ่งริ่งก็ได้ เธอใช้ชีวิตแบบประมาทมาก หลังจากเลิกงานแล้ว ก็มักจะไปเที่ยวนั่งดื่มที่ร้านอาหารไทยขาประจำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีคนไทยชอบมาชุมนุมกันเสมอ ๆ แทนที่เธอจะกลับบ้านพักผ่อน เพื่อที่จะได้ถนอมเรี่ยวแรงไว้ทำงานในวันต่อไป เธอก็จะออกเที่ยวต่อจนเป็นนิสัย.....และแล้ววันหนึ่งเวลาดึกประมาณตี ๒ เธอตั้งใจจะพบปะเพื่อนฝูงนักดื่มด้วยกันที่ร้านไทยแห่งนี้ ขณะที่เปิดประตูจะเข้าไปในร้าน.....ทันใดนั้นก็ได้มีขวดเบียร์เปล่าขวดหนึ่งได้ลอยดิ่งตรงมากระทบที่หน้าท้องน้อยของเธออย่างแรง โดยที่ตั้งตัวไม่ติด ทำให้เธอต้องโดนลูกหลง เจ็บปวดอย่างสาหัส ถึงกับต้องให้คนช่วยเรียกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล มารับตัวส่งโรงพยาบาลด่วน....เห็นไหมค่ะ ว่า<b> "วิบากกรรม" </b>มีความวิจิตรมากขนาดไหน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่า วิบากกรรมจะส่งผลลักษณะใด เมื่อไหร่ เวลาไหน....ในที่สุดสาวนิ่มก็ซวยเพราะว่าคืนนั้นพวกหนุ่มไทยที่อยู่ในร้าน เขาเมาแล้วก็มีเรื่องทะเลาะกัน กำลังดุเดือดถึงกับขว้างปาขวดใส่กัน สาวนิ่มก็ไปจังหวะพอดีได้ที่ ก็เลยเพียบไประยะหนึ่ง<br />
<br />
เหตุการณ์นี้ผ่านไปได้ปีกว่า ๆ ผลของกรรมยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ยังมีอีกจ๊ะ....สาวนิ่มตอนนั้นอายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ ๆ เธอเริ่มมีอาการปวดท้องน้อยบ่อย ๆ ผิดปรกติ เป็น ๆ หาย ๆ ได้รับความทุกข์ทรมานมาก และไม่สามารถทำงานได้ตามปรกติ เธอได้ไปตรวจเช็ค แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปรกติ ปวดท้องเป็นเวลาถึง ๖ เดือน จึงได้ตรวจพบว่าสาเหตุเกิดจากเยื้อที่ผนังมดลูกติดกับผนังท้องน้อยอักเสบ ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุ ที่โดนขวดกระทบที่ท้องอย่างแรง เป็นเหตุให้มดลูกและผิวหนังของท้องน้อยติดกัน และชอกช้ำมากจนเกิดการอักเสบเรื้อรัง ถึงกับต้องผ่าตัดโดยเร็ว เพราะอาจจะกลายเป็นเนื้อร้ายได้ในภายหลัง.....อกุศลวิบากกรรมได้ที ก็เลยตามเล่นงานเธอแบบชนิด ไม่ยอมทิ้งช่วงว่างเลย หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว ร่างกายไม่แข็งแรงดีเหมือนเดิม เจ้าของร้านอาหารก็เลยหาวิธี กลั่นแกล้งใส่ร้ายให้เธอมีความผิดอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ในที่สุดสาวนิ่มก็ดวงจู๋อีกครั้ง คราวนี้หนักมากถึงกับคิดจะลาโลก แต่ฉันได้ห้ามเธอไว้ ได้บอกและเตือนเธอว่า <b>"อย่าคิดเช่นนั้น เพราะแค่คิดก็ขาดทุนแล้ว มันเป็นการสะสมอกุศลจิต ไหน ๆ เคยเจออุปสรรคมามากมายแล้ว ก็ยังทนและผ่านมาได้จนถึงวันนี้ ไม่ต้องฆ่าก็ต้องตายอยู่แล้ว จะทำร้ายตัวเองทำไม น่าจะอยู่ดูชีวิตของตัวเองต่อไป แล้วก็หมั่นทำความดีไว้ให้มาก" </b> เธอก็เงียบฟังด้วยดี แต่ก็อดที่จะเถียงและทวงผลบุญไม่ได้ เธอบอกว่าตนเองก็เป็นคนดี มีแต่ให้ มีแต่ช่วยคนอื่นให้มีความสุข บุญทานก็ทำเป็นประจำ สวดมนต์ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ ไม่เห็นได้รับผลที่เป็นความสุขบ้างเลย มีแต่ซวย ๆ จวนจะหมดตัวแล้ว ฉันก็ได้แต่พยายามอธิบายเกี่ยวกับเรื่องกรรม เพื่อที่จะให้เธอได้เข้าใจบ้าง ว่ากุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้ บางอย่างไม่มีกำลังมาก พอที่จะส่งผลในชาตินี้ แต่ถ้าอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต มีกำลังมากกว่าก็จะส่งผลให้ได้เสวยในชาตินี้......<br />
<br />
กรรมดีและกรรมชั่วที่ได้กระทำแล้วนั้น ไม่สูญหายไปไหน เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล ก็จะส่งผลตามกาล ไม่มีผู้ใดกำหนดได้ว่า เมื่อไร ตอนไหน....เธอก็พอจะเข้าใจและสงบลงบ้าง ชีวิตของนิ่มเริ่มตกต่ำลำบากแบบสุด ๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อน แฟนที่คิดว่าจะตกลงร่วมชีวิตด้วยกัน ก็มาบอกปฏิเสธง่าย ๆ ว่าไม่รักเธอแล้ว งานก็ไม่มีทำ เงินจากทางประกันตกงาน ก็ไม่พอค่าใช้จ่ายและค่าเช่าที่พัก เพื่อนฝูงพากันหลบหน้าหนี กลัวเธอเหมือนกับว่าเห็นผีเมื่อเห็นเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะขอยืมเงิน แล้วไม่ใช้คืน มีแมวสวย ๆ เป็นสุดที่รักอยู่ ๓ ตัว จำใจต้องแยกจากกัน เพราะว่าไม่สามารถจะซื้ออาหารให้กินได้เหมือนเมื่อก่อน แม้กระทั่งตนเองก็ยังต้องอด บางวันได้กินแต่น้ำเปล่าประทังชีวิต เธอได้นำแมวทั้งสามตัวไปยกให้กับสถานที่เลี้ยงสัตว์ แล้วแต่เขาจะดูแล ทั้ง ๆ ที่เธอก็เลี้ยงมันมาร่วม ๑๐ กว่าปีแล้ว ผูกพันกันมาก อยู่ด้วยกันเหมือนแม่กับลูก<br />
<br />
.....ในที่สุดโชคชะตาก็สงสารเธออีกครั้ง เธอไปสมัครทำงานที่บาร์ของฝรั่ง เขาก็รีบรับไว้ทันที แต่ว่าให้ทำชั่วคราว ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ เธอเป็นคนขยันและรับผิดชอบดีมาก จนเจ้าของร้านพอใจ เวลาผ่าน ไปได้ ๖ เดือน ก็ได้รับบรรจุทำงานประจำ ต่อมาไม่นานนัก เธอก็ได้รับตำแห่งหัวหน้างาน มีเงินเดือนดีชีวิตและความเป็นอยู่ดูดีขึ้น เพื่อนฝูงอุดมสมบูรณ์ ใครเห็นก็รีบตะโกนร้องทัก ใครไม่มีเงินบอกได้ขอได้ แถมโชคดีมีเด็กหนุ่มฝรั่งมาหลงรัก....ชีวิตของนิ่มโลดโผนน่าดูมากเลย แต่ว่าดีไม่นานนัก แล้วก็จะตกต่ำแบบสุด ๆ อีก จนเป็นที่รู้เลยว่า ไม่นานก็จะเหมือนเดิมอีก.....นิ่มเคยบอกกับฉันว่า เธอไม่อยากเล่าเรื่องปัญหาของเธอให้ฉันฟังอีกแล้ว เพราะว่าทุกอย่างมันเหมือนเดิม เป็นวัฏฏสงสารที่ไม่มีวันจะเป็นอย่างอื่นได้เลย ทุกวันนี้ก็พอมีงานมีเงินใช้นิด ๆ หน่อย ๆ แทบไม่พอกิน เพื่อนฝูงไม่มีเลย เหมือนตายจากัน แต่เธอก็อยู่ได้ทนได้กับภาวะเช่นนี้ เพราะว่าอยู่กับธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลิกงานมาก็กลับบ้านฟังธรรม แล้วก็หลับไปกับพระธรรม งานก็มีทำแบบชั่วคราวเพราะงานที่บาร์นั้นเจ้าของเขาเจ๊งไปแล้ว เธอก็กลับไปของานที่ร้านไทยแห่งเดิมทำ เขารู้จักเธอดี จึงให้งานทำแบบชั่วคราว ตอนนี้เธอมีอายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำงานหนัก ๆ และไม่คล่องตัวจึงมีปัญหาในการทำงานเสมอ เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้ถึงจะทุกข์ยากอย่างไร ก็จะไม่ขอฆ่าตัวตาย จะขออยู่ดู <b>"ชะตากรรม"</b> ของตน จนกว่าชีวิตจะหาไม่.....ฉันก็พลอยดีใจกับความคิดในแง่บวกของเธอ ขอให้เธอจงเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งต่อสู้กับอุปสรรค์และโลกธรรมต่อไป ด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระธรรมเถิด <br />
<br />
ท่านผู้อ่านค่ะ บทความนี้ก็คงจะต้องขอยุติเพียงแค่นี่ หวังว่าทุกท่านคงจะได้รับสาระประโยชน์พอสมควร จากตัวอย่างชะตากรรมของสาวนิ่มผู้ทุกข์แต่ไม่ทิ้งธรรมผู้นี้....ขอทุกท่านจงเป็นผู้ไม่ขัดสนเสบียงไว้เลี้ยงตัวในภายหน้านะคะ<br />
<br />
................................................</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-84152805037452586112011-10-25T15:55:00.000-07:002013-04-09T13:24:07.222-07:00กรรมของคอมมิสซ่าร์<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b>....เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ยค่ะ...ฉันได้หยุดพักการเขียนไประยะหนึ่ง เพราะต้องเขียนส่งเว็บอื่นอีกหลายเว็บ...กว่าจะได้คิวเขียนเว็บนี้ก็อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็คงไม่นานเกินรอจ๊ะ ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วย....วันนี้ก็มาติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมกันอีกนะคะ<br />
<br />
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเหตุว่าได้กระทำกุศลกรรมไว้แล้วแต่ปางก่อน ผลแห่งกุศลกรรมจึงนำปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ เป็นผลของมหากุศลจิต จึงเกิดมาเป็นบุคคลที่มีอาการครบ ๓๒ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อน ก็เป็นบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับความไม่สมประกอบ เป็นคนพิการ หูหนวก ตาบอดหรือบ้าใบ้....และในทางตรงกันข้ามของกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็จะนำปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ ซึ่งเป็นภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าในภูมิมนุษย์หลายเท่า<br />
<br />
วันนี้ฉันก็จะขอเล่าเกี่ยวกับกรรมของสัตว์ในอบายภูมิ ๔ คือ สัตว์เดรัจฉานซึ่งเป็นภูมิที่อยู่ใกล้ชิดกับภูมิมนุษย์มากที่สุด....สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็มีขันธ์ ๕ อันเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เหมือนกับมนุษย์ และต้องมาเสวยผลหรือวิบากกรรมเช่นเดียวกันกับมนุษย์<br />
<br />
เรื่องที่ฉันจะเล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวตัวหนึ่ง มีชื่อว่า "Kommissar" เป็นเพศตัวผู้ รูปร่างลักษณะดี ตัวโต มีขนสีดำทั้งตัว ที่ตั้งชื่อพิกลหน่อย เพราะว่าช่วงนั้นภาพยนต์ทีวีเรื่อง<b> </b>"Kommissar"<b> </b>กำลังฮิตมาก เป็นภาพยนต์เกี่ยวกับอาชญากรรม....แมวตัวนี้เขาคงจะเคยเป็นคนอุปถัมภ์เกื้อกูลฉันและสามีมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้เราจึงได้มาเลี้ยงดูเขาตอบแทน เราไม่ได้ไปเลือกซื้อเขามาเลี้ยงหรอกนะ<br />
<br />
เรื่องมีอยู่ว่า....วันหนึ่งในฤดูร้อนเป็นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ๆ ฉันและสามีได้นั่งดื่มกาแฟอยู่ในสวน ขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟและคุยกันอยู่นั้น เท้าของฉันข้างหนึ่งได้แกว่งไปถูกอะไรนิ่ม ๆ ที่ใต้โต๊ะ ด้วยความสงสัยจึงก้มดูที่ใต้โต๊ะ...ทันใดนั้น ฉันก็ได้จ้ะเอ๋กับสายตาของแมวดำตัวหนึ่ง เขานอนหมอบอยู่ตรงข้าง ๆ เท้าฉัน จึงได้บอกให้สามีดู พอสามีก้มดูที่ใต้โต๊ะก็ตกใจเช่นกัน เขาบอกว่า<b> "แมวตัวนี้บาดเจ็บที่ขามีเลือดสด ๆ เปื้อนที่ขาหลังข้างหนึ่งนะ เธอดูให้ดีซิ"</b> ฉันจึงมองดูให้ทั่วตัวก็พบว่าเขาบาดเจ็บจริงด้วย จึงได้อุ้มเจ้าแมวผู้น่าสงสารตัวนี้ ขึ้นจากพื้นหญ้าที่เขานอนหมอบอยู่ เขามองหน้าฉันด้วยแววตาเหมือนกับว่า จะบอกให้รู้ว่า เขากำลังบาดเจ็บมาก ขอให้ช่วยด้วย ส่งเสียงร้องเรียกความเมตตาจากพวกเรา<b> "เหมียว ๆ "</b> คงจะบอกว่า<b> "ช่วยด้วย ๆ ฉันเจ็บเหลือเกิน ๆ"</b> เราก็รีบช่วยกันทำความสะอาดแผลให้เขาโดยเร็ว เพราะเกรงว่าจะสายเกินการณ์ ตอนที่ฉันเอายาทิงเจอทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียบากแผลให้ เขาก็ร้องเสียงดังเชียว คงจะปวดและแสบน่าดู แต่เขาก็ทนให้ทำจนเสร็จ พอเห็นแมวร้องเราก็พลอยจะน้ำตาไหลไปด้วยเพราะความสงสารจับใจ ฉันรู้สึกถูกชะตาเจ้าคอมมิสซ่าร์ตัวนี้มาก เลยบอกกับสามีว่า "ฉันจะเอาแมวตัวนี้ไว้เลี้ยงในบ้าน" สามีฉันไม่ตกลงด้วย เพราะกลัวว่าเจ้าของเขาจะมากล่าวหาว่าเราขโมยแมวของเขาไป ก็จะทำให้เราได้รับความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ฉันได้พิจารณาดูแมวตัวนี้แล้วว่า ท่าทางจะไม่มีเจ้าของ เพราะว่าแกไม่มีสายคล้องคอบ่งบอกว่ามีเจ้าของให้ทราบ ฉันคิดหาเหตุผลอยู่นานทีเดียว ที่จะเอาชนะสามี เพื่อที่จะให้เขายอมรับเจ้าแมวดำตัวนี้ให้ได้ ในที่สุดก็เกิดมีไอเดียเด็ด ๆ ผุดขึ้นในใจ จึงรีบบอกสามีว่า "ฉันมีไอเดียที่ดีมากเลยนะ เธอจะเชื่อฉันมั้ย" สามีได้ยินฉันพูดเช่นนั้น ก็ทำหน้าสงสัยว่าไอเดียอะไรกันอีก ฉันจึงบอกไปว่า "ถ้าเราเลี้ยงแมวตัวนี้ไว้ แมวจะนำโชคให้เรามีลูกสมปรารถนา" ความคิดนี้ได้ผลทันใจจริง ๆ นะ สามีตอบตกลงทันทีเลย....ทีนี้้ก็มาถึงตอนตั้งชื่อกัน คิดกันตั้งนานว่าจะชื่ออะไรดี ในที่สุดสามีบอกว่าเอาชื่อ "Kommissar" ดีมั้ย ฉันก็ตอบตกลงทันทีเพราะคิดว่าเป็นชื่อไม่เหมือนแมวทั่วไป....ฉันดีใจมากที่ได้แมวไว้เลี้ยงในบ้านดังใจ วันนั้นเราก็พากันไปหาซื้ออาหาร, นมและที่สำหรับถ่ายทุกข์ ให้แก่สมาชิกใหม่ในครอบครัวเป็นการรับขวัญ เราต้องให้เขากินของที่อร่อยและให้อิ่มหนำสำราญด้วย จัดที่สำหรับกินไว้ในห้องครัวเป็นสัดส่วน และที่ถ่ายทุกข์ก็มีส่วนตัวด้วย ตอนเช้าถ้าอากาศก็จะปล่อยให้ไปถ่ายนอกบ้าน เวลาเย็นก็ให้เข้าบ้านมานั่งดูทีวีด้วยกัน แต่ต้องนั่งที่ของตน ห้ามก้าวก่ายกันเด็ดขาด เขารู้หน้าที่ดีมาก พูดกันรู้เรื่องเฉพาะภาษาเยอรมันเท่านั้น<br />
<br />
เจ้าคอมมิสซาร์มาอยู่กับเราได้ไม่ถึงปี เราก็โชคดีอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีเด็กอิจฉามาเกิดด้วยอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเราแต่งงานได้สองปีแล้วจ๊ะ เป็นอันว่าเราได้ลูกสาวเป็นคนแรกสมดังปรารถนา เจ้าคอมมิสซ่าก็ตกอันดับไป จากเมื่อก่อนเคยเป็นที่รักที่สนใจมาก เป็นเพื่อนวิ่งไล่ขับกับสามีทุกวัน แมวตัวนี้แก่มากแล้ว เป็นแมวที่ว่านอนสอนง่าย นิสัยดีมากไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่กินของคนอื่น....แต่พอเรามีสมาชิกใหม่ในครอบครัวเพิ่มขึ้น เขาก็กลายเป็นแมวขี้อิจฉาไปโดยอัตโนมัติ พอเราเผลอทีไร เขาก็จะเข้าไปนอนในรถของเด็กเสมอ ทำขนร่วงบ้าง เอาตีนเปื้อนดินขึ้นไปเหยียบเบาะเด็กบ้าง ทำให้พวกเราเกิดโทสะอยู่บ่อย ๆ จนในที่สุดต้องจัดระเบียบใหม่ให้แก่เจ้าคอมมิสซ่าร์ สั่งห้ามเข้าบ้านในตอนกลางวัน ให้เข้ามากินอาหารได้ตามเวลา แล้วก็ต้องออกไปอยู่นอกบ้าน เขาก็เข้าใจ พอถึงเวลากินก็เข้าบ้าน กลางคืนก็ดูทีวีและนอนในบ้าน.....อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ไปทะเลาะกับแมวเพื่อนบ้าน ด้วยความแก่มากไม่มีแรงจะสู้รบกับแมวอื่นซึ่งหนุ่มกว่า เลยโดนพวกไอ้หนุ่มฟัดสะบักสะบอมกลับมา เราก็ต้องพาไปหาสัตวแพทย์ช่วยเย็บแผลให้.....และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นเวลาแห่งอกุศลวิบากกรรมของเจ้าคอมมิสซ่าร์ มีปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผลให้เขาต้องเสวย แผลที่บาดเจ็บนั้นกลับกลายเป็นแผลร้ายและแถมด้วยโรคร้ายซ้ำเติมอย่างหนัก คือเป็น "โรคเอด" เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่แมวเป็นโรคเอ็ดกันเยอะมาก และมีการระบาดด้วย ฉันก็เพิ่งจะทราบว่าสัตว์ก็เป็นโรคเอ็ดได้เหมือนกัน<br />
<br />
ในที่สุดเราก็ต้องนำเจ้าคอมมิสซ่าร์ ไปส่งสัตวแพทย์ให้ช่วยจัดการรักษาด่วน แต่หมอไม่สามารถจะช่วยชีวิตคอมมิสซ่าร์ได้เลย เป็นเรื่องเศร้าใจมาก ที่เราจะต้องสูญเสียคอมมิสซ่าร์อย่างรวดเร็ว แต่ใครเล่าจะหนีกฏแห่งกรรมได้ ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์มีวิถีชีวิตเป็นไปตามกรรมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยอมรับตามความเป็นจริงในเรื่องของกรรม ไม่เชื่อเรื่องกรรมและวิบากกรรม เราก็จะต้องมีความทุกข์ใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....แมวผู้น่าสงสารตัวนี้ก็เกิดมาเสวยกรรมเช่นกัน ยามเจ็บป่วยเราช่วยเขาได้เราก็ช่วยจนถึงที่สุด แต่ว่าคราวนี้สุดวิสัยจริง ๆ เราก็ได้ช่วยเหลือเขาครั้งสุดท้ายคือ จ่ายตังค์ค่ายานอนหลับให้เขาไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน หมอบอกว่ามีวิธีที่ดีที่สุดคือฉีดยาให้เขาหลับไม่ตื่นอีก ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว เราก็ได้ช่วยเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย.....หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ในคืนวันรุ่งขึ้นเขามาเข้าฝัน มาให้ฉันเห็นอีกเป็นครั้งสุดท้าย คงจะมาขอบคุณพวกเรา ที่ได้เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลเขามาตลอดด้วยดี<br />
<br />
<b>"กฏแห่งกรรม"</b> เป็นของสัตว์โลก ไม่มีใครหนีกรรมของตนไปได้ ตราบใดที่ยังไม่ศึกษาอบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ ก็จะต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....ไม่ว่าจะเกิดในภูมิใดก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้น <b>"กฏแห่งกรรม"</b> ทั้งสิ้น กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด <b>"ผลหรือวิบากกรรม" </b>จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่กำลังของกรรมนั้น ๆ <br />
<br />
สำหรับเรื่อง "กรรมของคอมมิสซ่าร์" ก็คงจะพอเป็นเครื่องเตือนใจได้ว่า ชีวิตทุกชีวิตมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธฺุ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นที่อยู่อาศัย กรรมใดที่ตนได้กระทำไว้ ตนนั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั่น....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความของฉันมาตลอด....สวัสดีค่ะ แล้วพบกันอีกนะคะ </div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-37467425503823718992011-10-07T08:59:00.000-07:002011-10-07T08:59:51.485-07:00แปลกแต่จริง: เที่ยวงานตลาดนัดฤดูร้อน<a href="http://sompornh.blogspot.com/2011/09/blog-post_10.html#links">แปลกแต่จริง: เที่ยวงานตลาดนัดฤดูร้อน</a>www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-21117245779737299802011-09-25T07:03:00.000-07:002013-04-09T13:29:01.822-07:00สุนัขเจ้ากรรม<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b>....หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ..... ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศเริ่มเย็นในตอนเช้า ๆ มีหมอกปกคลุมขาวไปหมด เป็นเมืองในหมอก เพราะจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง.....วันนี้มีเรื่องจะเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixtEw7mBc0WQV8wbzzXvLnqBpeXatLqjFjUNRQFHfRHbrBt1teGgRjX7aUcX7ALPQQx7LDh7r7tqryhOhdVT1iuAGJWYJ11ngAQqALdZsoP0MVY17yr9QddFHZYUfcuGh9y8zetqp44ro/s1600/DSCN0366.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixtEw7mBc0WQV8wbzzXvLnqBpeXatLqjFjUNRQFHfRHbrBt1teGgRjX7aUcX7ALPQQx7LDh7r7tqryhOhdVT1iuAGJWYJ11ngAQqALdZsoP0MVY17yr9QddFHZYUfcuGh9y8zetqp44ro/s200/DSCN0366.JPG" width="200" /></a>เรื่องนี้เกิดกับตัวฉันเองเมื่อสามปีมาแล้ว....มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิบากในฝ่ายอกุศล ซึ่งไม่มีทางเลี่ยงได้เลย.....สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน.....กรรมใดใครก่อ ผลของกรรมย่อมเป็นของผู้นั้นอย่างแน่นอน....เรามีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ หนีไม่พ้นกรรมเลยนะคะ.....อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด....สามปีผ่านมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่ลืมเลือนเลย....ฉันชอบตื่นแต่เช้า ไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์คนเดียวบนภูเขาใกล้ ๆ บ้าน เป็นประจำทุกวัน....บางวันก็ไปยืนคุยกับวัว พอเขาเห็นฉันเดินเขาไปใกล้ ๆ เขาก็จะพากันเดินเข้ามาหา บนภูเขาที่นั่น มีวัวของชาวนา เป็นสิบ ๆ ตัว เขาปล่อยไว้กลางแจ้ง.....บางวันพวกวัวเขาก็เป็นมิตรดี บางวันพอเข้าไปใกล้หน่อย ทำเป็นร้องกลัวเรา พากันเมินหน้าแล้วก็เดินหนีไป (ทุกอย่างเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้).....บรรยากาศตอนเช้า ๆ เย็นสบายสดชื่น ฉันออกเดินทุกวันจนเป็นนิสัย เดินสวดมนต์ไปด้วยเพื่อให้จิตเป็นกุศล แล้วก็พิจารณาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นการเจริญกรรมฐานอยู่เนื่อง ๆ ดีกว่าหายใจทิ้งเปล่า ๆ บางวันก็ไม่เจอคนเลยสักคน เพราะเช้าเกิน เขายังไม่ตื่นกัน......ฉันต้องเดินตอนเช้าเพราะว่าต้องการรับพลังจักรวาล.....ร่างกายกจะได้แข็งแรงดี จิตใจก็ปลอดโปร่ง....<br />
<br />
เช้าวันหนึ่งฉันรู้สึกลังเลใจมาก ไม่รู้จะเลือกเดินถนนสายไหนดี จะออกเดินเริ่มจากทางซ้ายไปขวาหรือจะเดินจากทางขวาไปซ้ายดี รู้สึกว่าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ส่วนมากแล้วพอจะออกเดินก็เดินไปเลย ไม่มีการคิดจะเลือกเส้นทาง วิธีเดินของฉันก็คือจะเดินไม่ย้อนกลับ เพราะถนนมีรอบบ้าน จะเดินไปทางไหนก็ไม่ต้องย้อนกลับ.....เช้านี้หันหน้าหันหลังอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจิตบอกว่า ไปทางซ้ายแล้วอ้อมกลับทางขวาก็แล้วกัน.....พอเดินไปสุดถนนโค้งจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เป็นหลังสุดท้าย....วันนี้เจ้าของบ้านตื่นเช้ากว่าปรกติ ฉันเดินมาหลายวันแล้วก็เพิ่งเจอวันนี้ เขายืนคุยกับคนรู้จักกันอยู่ที่หน้าบ้าน..... ตามมารยาทของคนสวิสก็จะต้อง มีการกล่าวสวัสดีกัน ฉันก็หันไปกล่าวสวัสดีพวกเขา แล้วก็เดินต่อไปตามปรกติ.....ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง "โฮ้ง ๆ ๆ " อยู่ด้านหลังฉัน......ฉันก็รีบหยุดเดินทันที ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ว่าจิตเขาสั่งให้หยุดเดิน ยืนนิ่งด้วยความสงบ....พอสิ้นเสียงสุนัขเห่าเท่านั้นแหละ เร็วเหลือเกินแทบตั้งตัวไม่ติดพื้น ได้ยินเสียงฝีตีนของสุนัข กระโจนแค่สองครั้งเท่านั้น.....กระโดดตะปบที่ไหล่ข้างซ้ายของฉันอย่างแรงแถบจะล้มทั้งยืน ตัวมันหนักมาก (ยังไม่เห็นตัวกันเลย) ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันทีเดียว....ขณะนั้นจิตก็คิดว่า <b>"เจ้าสุนัขเอ๋ย ถ้าเราไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก่อน เจ้าก็อย่าได้ทำอะไรข้าเลย ถ้าหากข้าเคยทำกรรมกับเจ้ามาก่อน ก็เชิญเจ้าตามสบายเถิด" </b>นี่ถ้าฉันมีอกุศลวิบากหนัก ฉันคงโดนเจ้าสุนัขขย้ำหน้าเละไปเสี้ยวหนึ่งแล้วล่ะ....แต่นี่แกไม่ทำอะไรมากไปกว่าการเอาลิ้นออกมาเลียที่ใบหูเรา.......ส่วนเจ้าของสุนัขนั้น เขาอยู่ระหว่างช๊อค คงจะยืนตลึงสักครู่หนึ่ง แล้วจึงวิ่งมาที่ฉัน ทำเป็นดุด่าสุนัขว่าทำไมทำอย่างนั้น....เขาก็กล่าวขอโทษแทนสุนัข...ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก<br />
<br />
เหตุการณ์เช่นนี้มันไม่เกิดบ่อย ๆ ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด......ฉันคงจะเคยทำกรรมกับสุนัขมาก่อนแน่ ๆ เลย คงจะเคยแกล้งทำให้เขากลัวมาก.....เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดกับคนสวิส เขาก็คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับแจ้งตำรวจจับ เรียกค่าทำขวัญกัน ทำให้เจ้าของสุนัขต้องเดือดร้อนเสียเงินเสียชื่อเสียงอีกด้วย เพราะตามกฏหมาย เจ้าของสุนัขที่พาสุนัขไปเดินนอกบ้าน จะต้องมีเชือกล่ามสุนัขไว้ตลอด นอกจากไปในที่ที่ไม่มีผู้คน กรณีนี้เจ้าของสุนับเขาคงจะคิดว่ายังเช้ามากอยู่ ไม่มีคนเดิน เขาจึงไม่ได้สนใจที่จะล่ามเชือกไว้ แต่ฉันก็ไม่โกรธเขาหรอก เพราะคิดว่ามันเป็นวิบากของตนเอง ทุกวันไม่ออกเดินสายนี้ จะเป็นแค่ทางกลับ พอเดินก็ได้เรื่องเลย.....นี่ถ้าฉันไม่เคยเจริญสติมาก่อน มาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็คงต้องวิ่งหนีแน่ ๆ พอวิ่งหนีเมื่อไหร่ สุนัขแกก็จะคิดว่าเราหนีแก ๆ ก็จะยิ่งมีกำลังโกรธมากขึ้น....<b>."สติ"</b> เท่านั้นที่จะเป็นอาวุธป้องกันภัยในทุก ๆ ทีได้ค่ะ.....<b>"สติ"</b> กั้นกระแสกิเลสทั้งปวง.....เรื่องนี้เป็นไงบ้างค่ะ ถ้าท่านผู้อ่านเจอเหตุการณ์อย่างฉัน ท่านจะรู้สึกอย่างไร.....ทางที่ดีที่สุด.....ควรเริ่มฝึกเจริญสติเพื่อเป็นอาวุธป้องกันภัยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไปนะคะ <br />
<br />
.....................................................</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-22821866937826101662011-09-05T15:32:00.000-07:002013-04-09T13:31:25.790-07:00เป็นกรรมกับหอยทาก<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijye_eafKR_wIQG2mPTPOzAkG3F0glIJmdHWmO7FGHrWEYK6ggPSLEG-KwA529lQKnhK2XPooQ6D-y6i4N-JM6GdW9MkOvfT3IZ2auHM4p1jVqoibGPyB_F7LBwpFCpjgLvPOtu9W6exs/s1600/DSCN0441.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijye_eafKR_wIQG2mPTPOzAkG3F0glIJmdHWmO7FGHrWEYK6ggPSLEG-KwA529lQKnhK2XPooQ6D-y6i4N-JM6GdW9MkOvfT3IZ2auHM4p1jVqoibGPyB_F7LBwpFCpjgLvPOtu9W6exs/s200/DSCN0441.JPG" width="200" /></a></div>
<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน.</b>...พบกันอีกนะคะ วันนี้ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้เห็นมากับตนเองเมื่อไม่นานมานี่เอง.....มันเป็นเรื่องวิบากกรรมหรือผลของกรรมที่ไม่มีทางเลี่ยงได้เลย ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า<b> "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน" </b> เราเกิดมาหลายภพหลายชาติ ไม่สามารถระลึกได้ว่า ตนเองได้กระทำกรรมอันใดไว้บ้าง บางครั้งเราคิดว่า เราไม่เคยทำอกุศลกรรมอะไร แต่ทำไมถึงเจอแต่เรื่องซวย ๆ อยู่บ่อย ๆ จนชักจะอิ่มในการกระทำความดี....แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านเกิดความรู้สึก อิ่มในการกระทำความดีเพราะเหตุว่า <b>ทำความดีแล้วไม่ได้ดี แต่คนทำชั่วได้ดีมีถมไป</b>......พึงรับทราบไว้เถอะว่า ที่เขาทำชั่วได้ดีนั้น เพราะเป็นผลกรรมดีของอดีตชาติของเขา....แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในปัจจุบันก็ส่งผลในชาตินี้ได้เหมือนกันนะคะ การกระทำทุกอย่างย่อมมีผล ตามหลักธรรมะ...<b>"กรรม" </b>หมายถึง <b>"เจตนากรรม" </b>เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นพร้อมกับจิต เรียกว่า <b>เจตนาเจตสิก</b> มีลักษณะจงใจ ตั้งใจ ขวนขวาย <br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiETV3SqB-fEJfqHk8dq80uOAFjg4I89KNH26ehzhAFubhML8yD7BwVs7r67FrraOlixUR8HqEKQGQ2WCaE3B1LmDwXMvIfXxIpn-bBc_UNqt64Rx5YSPjw39DwcB4EPcAcT1HC8xU657c/s1600/DSCN5599.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiETV3SqB-fEJfqHk8dq80uOAFjg4I89KNH26ehzhAFubhML8yD7BwVs7r67FrraOlixUR8HqEKQGQ2WCaE3B1LmDwXMvIfXxIpn-bBc_UNqt64Rx5YSPjw39DwcB4EPcAcT1HC8xU657c/s200/DSCN5599.JPG" width="200" /></a>ที่สวิตเซอร์แลนด์.....ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะชื้นเพราะมีฝนตกบ่อย ๆ เวลาเช้า ๆ หรือตอนเย็น ๆ จะมีสัตว์เลื้อยคลายอยู่ ๒ ชนิด คือ<b> "ตัวลิ้นหมา"</b> และ<b> "หอยทาก" </b>ชอบออกมาหาอาหารกิน อาหารของสัตว์พวกนี้ก็คือ ใบไม้ใบหญ้าอ่อน และดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม อย่างเช่นดอกดาวเรือง เขากินแบบชนิดไม่มีการเกรงกลัวเจ้าของดอกไม้เลยนะ.....ฉันเคยปลูกดอกดาวเรืองไว้รอบสระปลา ไว้ชมความงามตอนเช้า ๆ มันสวยดี ได้ชมอยู่แค่วันเดียว พอเช้าวันรุ่งขึ้น โดนตัวลิ้นหมาเขมือบเกลี้ยงเลย ตั้งแต่นั้นมา ฉันเลยเลิกปลูกดอกไม้ในสวนเด็ดขาด เพราะไม่อยากมีโทสะ และไม่อยากมีกรรมกับสัตว์เดรัจฉานด้วย....บางคนเขาไม่สนใจ และไม่รู้เรื่องเวรกรรมอะไรทั้งนั้น เขาก็จะใช้เม็ดยาพิษหว่านตามพื้นรอบ ๆ ต้นดอกไม้และบริเวณสวน พอสัตว์พวกนี้เลิ้อยไปได้กลิ่น มันก็จะพากันกิน แล้วก็พากันตายเป็นแถวเลย ฉันเห็นแล้วเกิดความสงสารคนใจบาป ที่จะต้องได้รับผลของกรรมในวันหนึ่งอย่างแน่นอน <br />
<br />
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้....เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านของฉัน เขามีสวนดอกไม้สวยมาก ๆ มีดอกไม้สารพัดชนิด เจ้าลิ้นหมากับเจ้าหอยทากไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสดอกไม้ของเขาหรอก เพราะเขาใช้ยาพิษโรยทั่วบริเวณสวน จะเห็นสัตว์พวกนี้นอนตายอย่างน่าสมเพท มียาพิษติดอยู่ที่ปากและมีเมือกสีขาว ๆ ไหลออกมา สัตว์พวกนี้ไม่มีเลือดสีแดงเหมือนสัตว์อื่น เพราะความที่ไม่รู้เรื่อง<b> "กรรมและผลของกรรม"</b> ว่ามีจริง ยิ่งกระทำกรรมโดยเจตนาด้วย จะได้รับผลกรรมอย่างรวดเร็ว....สองสามีภรรยาเป็นคนรักสวนมาก เพราะเขาไม่มีลูก จึงใช้เงินทุ่มเททำสวนดอกไม้ราคาแพง เป็นการชดเชยสิ่งที่ขาด แต่สวนดอกไม้ก็เป็นเหตุปัจจัย<br />
ให้เขาขยันฆ่าตัวลิ้นหมาและหอยทากทุกวัน ๆ ละหลายสิบตัว โดยเฉพาะผู้เป็นสามี ชอบทำสวนมากจึงเป็นศัตรูกับสัตว์สองชนิดนี้อย่างเปิดเผย<br />
<br />
ในที่สุดกรรมได้ส่งผลเร็วเกิดคาด ส่งงผลในชาตินี้.....เขาป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งที่หลอดลม ไม่สามารถพูดได้เหมือนปกติ ต้องผ่าตัดคอหลายครั้ง แต่ก็ไม่ดีขึ้น เขาต้องทุกข์ทรมานอยู่ ๒ ปี ส่วนภรรยานั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ป่วย แต่ก็เหมือนป่วยด้วยกัน เพราะเธอต้องคอยปรนนิบัติสามี ตลอดจนถึงวินาทีสุดท้าย....มีอยู่วันหนึ่งฉันเจอสองสามีภรรยาโดยบังเอิญในโรงรถของเขา ขณะที่เขากำลังจะไปหาหมอ สามีฉันได้บอกกับสองสามีภรรยาคู่นี้ว่า ฉันมีพลังจิตสามารถรักษาโรคกรรมได้ เขาก็ยินดีให้ฉันรักษา ฉันบอกเขาว่า ขอตรวจดูก่อนว่า พอจะช่วยได้ไหม ฉันได้กำหนดจิตตรวจดูด้วยพลังฝ่ามือ ได้พบว่าเจ้ากรรมนายเวรของเขาคือ พวกลิ้นหมากับหอยทากเยอะมาก ๆ เลย เขาไม่ยอมปล่อยกรรม ฉันจึงไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้ จึงบอกกับเขาว่า ช่วยไม่ได้หรอก.....ฉันสงสารเขามากตั้งแต่แรกที่เห็นเขาขยันหว่านยาพิษ อยากจะเตือนเขา แต่เขาก็คงจะไม่เชื่อ.....เขาได้ชดใช้กรรมอยู่สองปีเต็ม ๆ .....หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เขาจะลาโลกไป เขาได้ขอมาสนทนากับฉันและสามีเป็นครั้งสุดท้ายที่บ้าน เขาขอเข้าไปนั่งในศาลา ในศาลานี้มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประทับอยูองค์หนึ่ง เขาก็มานั่งชมพระพุทธรูปและสนทนากับเราอยู่ไม่นานก็กลับ....ก่อนวันสิ้นใจเขาได้มาเข้าฝันฉันว่า....ขอให้ฉันช่วยบอกทางให้ด้วย เขาอยากจะไปโบสถ์ แต่ไปไม่ถูก ฉันก็ช่วยบอกทางให้เขา....นี่แหละค่ะ ผลแห่งกรรม....<b>."กรรมใดใครก่อ ผลของกรรมย่อมเป็นของคนนั้น" </b><b> </b><br />
<br />
ท่านผู้อ่านทุกท่านก็คงจะรู้จักสัตว์เลื้อยคลานสองชนิดนี้ดีนะคะ ถ้าไม่ชอบก็อย่าฆ่าเขา จะได้ไม่เป็นเวรกรรมต่อกันจะดีกว่านะคะ</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-80029554390850399662011-08-23T15:56:00.000-07:002011-08-24T03:01:24.381-07:00อิทธิพลจากไพ่ยิปซี<b>สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน</b>....หวังว่าคงสบายดีนะคะ ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศร้อนมาก ๆ เลย ขณะที่นั่งพิมพ์บทความอยู่นี่ เหงื่อไหลเปียกทั้งตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลากลางคืนน่ะเนี่ย...แต่ก็ช่างมันเถอะ...ความร้อนก็เป็นเพียงสภาพธรรมะที่ปรากฏให้จิตรู้ เพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดแล้วก็ดับ...มาสนใจเรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังดีกว่าน่ะ<br />
<br />
ฉันเชื่อว่าทุกท่านก็คงจะชอบเรื่อง ดูดวงชะตา ทำนายทายทัก ดูลายมือ ดูไพ่.... ฉันเองก็ชอบดูดวงชะตา แต่ไม่ชอบไปให้คนอื่นดูให้.....เมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ฉันได้ลองซื้อไพ่ยิปซี่ (Tarot) มาหัดเล่นกันในครอบครัว จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ จึงคิดว่า เราน่าจะหาอะไรใหม่ ๆ มาเรียนบ้าง..ฉันได้ศึกษาวิธีวางไพ่ตามที่คู่มือแนะนำไว้....จากนั้นก็เริ่มวางไพ่ ลองดูดวงประจำวันของแต่ละคนในบ้าน รู้สึกว่าแม่นมาก....บางครั้งเวลามีปัญหาเกี่ยวกับลูก ๆ (ตอนนั้นเขายังเรียนอยู่มัธยม)...ฉันกับสามีก็จะตื่นตอนดึกแอบมาวางไพ่ดูดวงกัน ไพ่บอกวิธีแก้ปัญหาให้เราด้วย เราเชื่อไพ่ยิปซีมาก....โดยเฉพาะลูกสาวชอบดูดวงทุกวัน ก่อนออกบ้านเป็นประจำ ตั้งแต่มีไพ่ยิปซีอยูในบ้าน ฉันรู้สึกว่าตนเองจะฝันอะไรแปลก ๆ พิศดารอยู่บ่อย ๆ เหมือนเป็นเรื่องในอดีตชาติ พอมาวางไพ่ดูก็จะเป็นเรื่องราวเหมือนในไพ่ชัดเจนมาก....ฉันเกิดความรู้สึกลึก ๆ ว่า<b> "ไพ่ยิปซี"</b> ไม่ใช่ไพ่ธรรมดา ไพ่แต่ละใบมีวิญญาณที่มีอายุแก่มาก ๆ ซึ่งมีความสามารถแต่ละใบแตกต่างกันไปตามการสะสม<br />
<br />
<br />
ครั้งหนึ่งลูกสาวได้แสดงละครในโรงเรียน เขาได้รับเลือกเป็นตัวเอกของเรื่อง เธอสามารถแสดงได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันมาทราบภายหลังว่า มีไพ่ใบหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนลูกสาวฉัน ชุดแต่งกายที่เขาใส่ในวันแสดงละคร ก็เหมือนกับบุคคลในไพ่นั่นทุกอย่าง.....วิญญาณที่สิงอยูในไพ่นั่นเอง ช่วยให้ลูกฉันแสดงละครผ่านไปด้วยดีอย่างน่าทึ่ง<br />
<br />
<br />
ในที่สุดฉันก็ประสบกับพิษสงของไพ่ยิปซี ...เย็นวันหนึ่งขณะนั่งดูทีวีอยู่กับน้องสาว ฉันรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำอย่างกระทันหัน จึงสั่งให้น้องสาวเอาน้ำมาให้ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วฉันจะไม่ออกคำสั่งเช่นนั้น น้องฉันเล่าว่า ตอนที่สั่งให้ไปเอาน้ำ ไม่ใช่ฉันสั่ง เพราะเป็นเสียงผู้ชายที่แก่มาก และพูดแบบดุ ๆ พูดแบบห้วน ๆ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของฉัน...ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าศีรษะมันกำลังหมุนแบบช้า ๆ แล้วก็ค่อย ๆ หมุนเร็วขึ้น ๆ เหมือนพัดลมที่ติดอยู่บนเพดานยังงั้นแหละ... พอหมุนเสร็จ (ตอนนั้นอยู่ในท่านอน) ฉันก็ลุกขึ้นนั่ง.....จ้องหน้าน้องสาว (ตอนนั้นรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ว่าไม่ใช่ตัวเอง) แล้วถามน้องสาวฉันว่า<b> "แก่เป็นใคร"</b> น้องสาวฉันไม่ตอบ แต่ถามกลับไปว่า<b> "แก่เป็นใคร".</b>...น้องสาวฉันเห็นท่าทางผิดปกติ ไม่ดีแน่ จึงรีบไปจุดธูปบอกพระแม่กวนอิมให้ช่วยด้วย...... พอสักครู่หนึ่ง ฉันก็อาเจียนออกเป็นน้ำ เหมือนน้ำล้างข้าวสาร อาเจียนออกหมดท้อง จนเป็นเมือกขุ่น ๆ ไม่มีเศษอาหารเลย เสียงอาเจียนดังน่ากลัวมาก....สามีรีบโทรเรียกหมอมาด่วน หมอมาดูอาการ ตรวจเช็คความดันโลหิตและตรวจหัวใจก็ปกติดีทุกอย่าง... หมอก็งง ๆ เพราะฉันหายเป็นปลิดทิ้ง<br />
<br />
<br />
<br />
หลังจากเหตุการณ์ตื่นเต้นผ่านไปแล้ว....คืนวันนั้นรู้สึกกลัวมาก ๆ กลัวว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก น้องสาวฉันจึงได้เอาไพ่ยิปซีไปเผสไฟที่นอกบ้าน.....แปลกมาก ๆ มีไพ่ใบหนึ่งที่ไม่ยอมไหม้ มันเป็นใบที่มีรูปผู้หญิงสาวที่มีหน้าตาเหมือนกับลูกสาวฉัน เป็นเหตุให้ลูกสาวฉันกลัว จนไม่กล้านอนคนเดียว เป็นอันว่า....คืนนั้นเราก็นอนเตียงเดียว ๓ คน ฉันเองก็เกิดความกลัวไม่น้อยกว่าลูก ไม่กล้าที่จะนอนด้านริม ลูกก็จะนอนกลางเช่นกัน ฉันก็เลยมีอุบายว่า... ผีมันชอบมาหาคนอยู่กลาง....ในที่สุดเป็นจริง ฉันเจออีกรอบจนได้ ตอนดึกพอคนหลับสนิท ฉันได้ยินคนเดินเข้ามาในห้องนอน มาหยุดอยู่ที่ข้างลูกสาว...แล้วเอามือมาแกะมือฉันที่กอดลูกสาวไว้ ฉันตกใจเลยร้องสุดเสียงจนสามีสะดุ้งตื่น.... ทุกคนในบ้านเลยตื่นกันหมด...ไม่ต้องนอนกัน มาอยู่รวมกันในห้องนอน ได้แต่คิดหาวิธีต่าง ๆ นานาว่าจะจัดการกับไพ่ใบสุดท้ายนี้ได้อย่างไร....สามีบอกว่าให้เอาไปทิ้งในแม่น้ำ <br />
<br />
<br />
วันรุ่งขึ้นตอนสาย ๆ เราได้นำไพ่ใบสุดท้าย ที่ไม่ยอมไหม้ไฟไปทิ้งลงแม่น้ำ....ไพ่ใบนี้ยังไม่หมดฤทธิ์ดูเหมือนว่า เขาจะบอกให้พวกเรารู้ว่า...เขายังโกรธพวกเราอยู่ ไพ่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไม่ยอมไหลตามกระแสน้ำ มันหมุนเป็นวงกลม...ในที่สุดวิญญาณนี้มันไม่ไปจากพวกเรา มันแอบมาอยู่ที่ลูกสาว....กว่าฉันจะรู้เรื่องนี้ ต้องใช้เวลาถึงสองปี....ฉันได้ฝึกสมาธิ จนจิตมีพลังสามารถสื่อพูดคุยกับวิญญาณได้ จึงได้รู้ว่า ที่นิสัยของลูกเปลี่ยนไป เพราะอิทธิพลของวิญญาณที่มาจากไพ่ยิปซีนี่เอง จึงได้พูดกับวิญญาณดี ๆ เขาก็ดีกับเราได้ เขาคอยติดตาม คุ้มครองลูกสาวฉันมาตลอด ตอนหลังฉันบอกเขาว่าให้ไปอยู่ที่วัดไทย เขาจะได้สร้างบารมีมากกว่าอยู่กับพวกเรา เพราะเขาเป็นวิญญาณที่แก่กล้ามาก เขาก็ตกลงไปอยู่ที่วัดจนกระทั่งทุกวันนี้...เรื่องนี้ก็เป็นผลแห่งกรรมของฉันกระทำเอง และก็ได้เสวยไปเรียบร้อยแล้วจ๊ะwww.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-83140480958712247882011-08-09T10:54:00.000-07:002011-08-09T10:54:28.397-07:00ท้าทายเทวดาสวัสดีค่ะทุกท่าน ช่วงนี้อากาศทั่วโลกเปลี่ยนแปลง ฝนตกหนักพายุแรง หวังว่าทุกท่านคงมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่นะคะ บางประเทศเวลานี้เจอปัญหาเกี่ยวกับมรสุม น้ำท่วมบ้านเรือนและถนนหนทางจมน้ำ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายมากมาย นี่ก็ทำให้เราได้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล เป็นเพียงสภาวะธรรมที่ปรากฏเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด ถ้าจิตของเราได้รับการอบรมฟังธรรมและประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เนื่อง ๆ จนเป็นอุปนิสัย จิตก็จะไม่หวั่นไหวหรือไหลไปตามกระแสโลก<b> "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นธรรมะ" </b>พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เช่นนั้น ถ้าเราเข้าใจตามความจริง เราก็จะไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังประสบอยู่ขณะนั้น <br />
<br />
วันนี้ฉันตั้งชื่อเรื่องหน้ากลัวหน่อยนะ ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าฉันเก่งขนาดไหนน่ะ ถึงได้กลัาท้าทายเทวดา ไม่ได้เก่งอะไรหรอกจ๊ะ คือว่าเดือดร้อนต่างหากล่ะ ถึงต้องท้าเทวดา ตอนเวลาไม่เดือดร้อนฉันก็พูดคุยกับเทวดาได้ตามปกติ ท่านก็คุยเหมือนเป็นญาติเป็นมิตร เหมือนกับมนุษย์เรานี่แหละ แต่ท่านมีศีลและมีสัจจะกว่ามนุษย์ พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น คือตรงแท้ แต่ถ้าเป็นพวกผีเร่ร่อนก็ไม่แน่นะ มันหลอกกินหลอกใช้หรือหลอกให้กลัวก็ได้ มันจะไม่มีคุณธรรม ไม่รู้จักธรรมะและยังไม่มีสัมมาคาระ พูดจาไม่สุภาพ โดนซักถามมาก ๆ ก็จะโกรธ นี่เข้าลักษณะคนพาล ถามดี ๆ ก็โกรธ<br />
<br />
เรื่องที่จะเล่านี้ก็เป็นผลแห่งกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดกับตนเอง มีอยู่วันหนึ่งฉันและน้องสาวได้เดินทางไปเยี่ยมลูกสาวซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่ง นั่งรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมง ที่จริงไปกลับได้ในวันเดียวกัน แต่ฉันก็ไม่อยากกลับ เพราะว่าไม่ค่อยได้พบลูกสาวบ่อยนัก เขาเรียนและทำงานด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างนัก เราก็ได้ค้างคืนที่บ้านของลูกสาว ๑ คืน ปรากฏว่านอนไม่หลับทั้งคืน เพราะช่วงนั้นอากาศร้อนจัด เราก็มีวิธีแก้โรคนอนไม่หลับ ด้วยยานอนหลับขนานวิเศษ คือ<b> "ฟังธรรมะ"</b> นอนฟังธรรมะไปเรื่อย ๆ ฉันชอบอัดบันทึกธรรมะบรรยายใส่โทรศัพท์มือถือไว้ฟัง เพราะว่ามันสะดวกในการใช้ ทีนี้เราก็ฟังธรรมกันจนกระทั่งหลับหนีธรรมะเมื่อไหร่ไม่ทราบ แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงเลย เพิ่งมาทราบว่าไม่สามารถใช้โทรได้ ก็ตอนขึ้นรถจะกลับบ้าน<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right; margin-left: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxl0GvQZRrj0Yh-9xOxzhLv8-eo9NZU0NSsDCRqNqVrEbfWACfO6x6kAz3hWxmI-w6ODZI4zGQWfFpYI108vT_lwVLQzjkeWU9raQDQRJ1n36VjIJT2UQ0oNng_dGX8ZLMSzh920mDLd8/s1600/DSCN0343.JPG" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxl0GvQZRrj0Yh-9xOxzhLv8-eo9NZU0NSsDCRqNqVrEbfWACfO6x6kAz3hWxmI-w6ODZI4zGQWfFpYI108vT_lwVLQzjkeWU9raQDQRJ1n36VjIJT2UQ0oNng_dGX8ZLMSzh920mDLd8/s200/DSCN0343.JPG" width="200" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b style="color: orange;">ธาตุกายสิทธิ์ปู่ฤาษี ๑๐๘</b></td></tr>
</tbody></table>วันนั้นเป็นวันอาทิตย์รถบัสที่จะนั่งไปบ้านไม่ค่อยมี นาน ๆ จะออกสักคัน ครั้นจะโทรบอกสามีมารับ ก็โทรไม่ได้ รู้สึกใช้ความคิดหนักเลย จะทำไงดีถึงจะได้กลับบ้าน จะขอยืมมือถือจากคนแปลกหน้า ก็คงไม่สมควรแน่นอน น้องสาวฉันเกิดความคิดตลกขึ้นมา บอกฉันขอให้เทวดาช่วยหน่อยซิ ฉันก็ไม่รีรอชักช้า เลยพูดขึ้นว่า<b> "ถ้าเทวดาเก่งจริงก็ขอให้แสดงปาฏิหาริย์ให้พวกเราเห็นด้วยเถิด ถ้าส่งคนมาช่วย นำส่งพวกเรากลับบ้านได้ หรือว่ามีคนให้เรายืมมือถือโทรได้ พวกเราจะทึ่งมาก ๆ เลย"</b> พอพูดจบเราก็นั่งลงที่ม้านั่งสำหรับรอรถบัส ทันใดนั้นได้มีผู้หญิงชาวสวิสคนหนึ่ง อายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ ๆ เดินยิ้มอย่างเป็นมิตร ตรงเข้ามายังที่ที่เรานั่งอยู่ เขาทักทายน้องสาวฉันก่อนและแนะนำตัวเองว่า เขาเคยรู้จักน้องฉัน เมื่อปี ค.ศ.๒๐๐๒ เขาได้ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลเดียวกันกับที่น้องสาวฉัน ปีนั้นน้องฉันกได้ไปผ่าตัดเหมือนกัน ได้นอนห้องเดียวกัน<br />
<br />
ฉันก็ได้โอกาสจึงขอยืมโทรศัพท์มือถือของเขา นึกไม่ถึงเลยว่าเทวดาท่านจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก่อนอื่นฉันก็ได้ขอบคุณเทวดาก่อน ที่ท่านช่วยให้ฉันติดต่อกับสามีได้ เพื่อที่จะให้เขามารับเรากลับบ้าน โดยไม่ต้องนั่งรอรถบัสนานเป็นชั่วโมง ฉันได้กำหนดจิตถามดูว่า ใครช่วยพวกเราในครั้งนี้ ได้ทราบว่าปู่ฤาษี ๑๐๘ ท่านเมตตาช่วยเรา ทั้ง ๆ ที่เราก็ลองท้าทายท่าน พูดเล่น ๆ แต่ก็เป็นจริงได้ ท่านเมตตามนุษย์เสมอ เวลาเดือดร้อนหรือเจ็บป่วย ขอให้ท่านช่วยรักษาบรรเทาทุกข์ให้ ด้วยการเสกน้ำมนต์ให้ดื่ม ท่านก็รักษาให้เป็นประจำทั้งครอบครัว บางครั้งก็ท้าให้ไปให้หมอตรวจเช็กดู ให้แน่ใจอีกที ท่านจะเตือนเสมอว่า อย่าเชื่อแบบงมง่าย ต้องศึกษาธรรมะ เพื่อที่จะได้มีธรรมะเป็นที่พึ่งที่มั่นคง<br />
เทวดาจะช่วยก็ในกรณีฉุกเฉินและจำเป็นมาก ๆ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เรียกเทวดา รบกวนเทวดาบ่อย ๆ นั่นก็จะเป็นการเชื่อแบบงมงายได้<br />
<br />
เรื่องที่ต้องท้าทายเทวดานี้ ก็มีเหตุปัจจัยมาจากความไม่มี <b>"สติ"</b> ฟังธรรมจนหลับหนีธรรม ผลแห่งกรรมก็คือเดือดร้อนไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับคนทางบ้านได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ทราบว่า ความประมาทหรือความไม่มีสติคุ้มครองกายใจ ก็จะต้องประสบกับความเดือดร้อนกายใจได้ สำหรับเรื่องนี้ก็ขอยุติลงแค่นี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านทุกท่านเทอญ www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-90921447205418210612011-07-28T15:43:00.000-07:002011-08-06T06:41:21.224-07:00ท้าวนาคราชมาโปรด<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right; margin-left: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMjiVAMSJ5yR81wBoF2Slb6NdfQ5914ugdoAUGSisSv1dfXxmH558Q4TCdkjyy9kxKc64Cyp-p8lMIb42h01TQzEbVUZJaQE2FdhGHVGcv0Mu9kKuWxz43GVBjx4fHQgqFYxcvAciv6eg/s1600/IMG_20110713_113155.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMjiVAMSJ5yR81wBoF2Slb6NdfQ5914ugdoAUGSisSv1dfXxmH558Q4TCdkjyy9kxKc64Cyp-p8lMIb42h01TQzEbVUZJaQE2FdhGHVGcv0Mu9kKuWxz43GVBjx4fHQgqFYxcvAciv6eg/s200/IMG_20110713_113155.jpg" width="200" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><b style="color: blue;">ธาตุกายสิทธิ์ท้าวนาคราชพุชงค์</b></td></tr>
</tbody></table>เรื่องเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ของพญานาคที่ฉันจะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นผลของกรรมในฝ่ายกุศล คือผลของการฝึกจิตจนมีพลังสามารถสื่อกับวิญญาณได้ ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า ฉันจะเว่อร์มากไปแล้ว ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม ฉันไม่รับทราบด้วย เพราะเหตุว่ามันเป็นเรื่องของ <b>"จิต" </b>ซึ่งเป็นธรรมชาติเป็นนามธรรม จิตเมื่อเกิดขึ้นต้องทำกิจของเขา จิดเกิดขึ้นทำหน้าที่คิดเรื่่องกุศลบ้างอกุศลบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วดับสืบต่อ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิตดวงใหม่ขึ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาจิตได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่ของเรา ด้วยความที่<b>จิต</b>ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมให้มีธรรมะ จิตก็จะชอบคิดแต่อกุศลหรือไหลตามกระแสอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ ฉะนั้นใครจะคิดอะไรก็แล้วแต่จิตของเขา<br />
<br />
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์ตรงของฉันเอง มีอยู่วันหนึ่งมีคนมาขอไหว้ครูบาอาจารย์ เขามากัน ๓ คน เตรียมดอกไม้ธูปเทียนมาพร้อม เขาเพิ่งมาหาฉันเป็นครั้งแรก ที่มาหาบ้านถูกโดยไม่หลงทาง ก็เพราะมีเพื่อนที่รู้จักกับฉันเป็นคนพามา พอมาถึงบ้านและได้พักเหนื่อยกันแล้ว จากนั้นเราก็เข้าห้องพระ เพื่อสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยร่วมกัน พอเสร็จการสวดมนต์แล้ว เราก็ได้เริ่มพิธีไหว้ครูบาอาจารย์ โดยฉันเป็นผู้ทำหน้าที่สื่อกับครูบาอาจารย์ของแต่ละคน<br />
<br />
การสื่อกับวิญญาณโดยการกำหนดจิตนี้ ไม่เหมือนกับการเข้าทรงตามสำนักทรงทั่ว ๆ ไป เพราะไม่มีการแต่งเครื่องทรงและต้องมีการดื่มเหล้าหรือเคี้ยวหมาก ตามแต่องค์ที่มาทรงจะต้องการ วิธีสื่อด้วยทำแบบสบายไม่มีพิธีรีตรอง ปัจจัยดอกไม้ธูปเทียนไม่มีก็ไม่เป็นไร การสื่อมีสองลักษณะคือ การสื่อภายในแบบไม่เปิดเผยให้คนภายนอกรู้ หมายถึงฉันจะเป็นผู้ติดต่อกับครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์ แล้วก็เล่าให้ฟังว่า ครูบาอาจารย์ท่านคือใคร ชื่ออะไร ท่านพูดอะไรบ้าง ส่วนอีกลักษณะนั้นเป็นการสื่อแบบเปิดเผย โดยให้เขาได้คุยกับครูบาอาจารย์ด้วยตนเอง ฉันก็จะอนุญาตให้ครูบาอาจารย์ผ่านร่างได้ชั่วขณะ ฉันจะเป็นผู้กำหนดเวลาเองตามแต่จะต้องการ<br />
<br />
คนที่มาขอพบครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่ก็จะหวังเรื่องโชคลาภ มากกว่าเรื่องประโยชน์อย่างอื่น เช่นเรื่องการฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ คนไม่ชอบฟังแต่ก็ต้องยอมนั่งฟัง ครูบาอาจารย์ท่านมาโปรดลูกศิษย์ด้วยการให้ฟังธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะแนะนำวิธีเจริญสมาธิและเจริญสติปัฏฐานแล้วแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน บางคนไม่สบายปวดศีรษะ ปวดกระดูก ปวดข้อเป็นเวลานาน รักษาหมดเงินมากแล้วยังไม่หาย ท่านก็ปัดเป่าให้ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะเหตุว่าอาการที่เป็นนั้น ไม่ใช่โรคของความเสื่อมของสังขาร แต่เป็นโรคเกี่ยวกับกรรม บางรายก็โดนวิญญาณแฝงอยู่เพราะเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืนในที่ไม่สมควร ท่านก็ทำพิธีเชิญวิญญาณออกจากร่างให้ ถ้าเป็นผีร้ายสิงก็ต้องขับไล่กันดุเดือดน่าดูเหมือนกัน แต่ก็เจอไม่บ่อยนัก<br />
<br />
หลังจากพิธีไหว้ครูและฟังธรรมจากครูบาอาจารย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้สนทนาเป็นส่วนตัวกับครูบาอาจารย์ มีคนหนึ่งเขามีปัญหาเกี่ยวกับการงาน เขาต้องการจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ ในโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทใหญ่มาก ตอนนั้นเขาเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ จึงได้ขอให้ปู่นาคราชพุชงค์ช่วย ท่านได้เสกบัตรประจำตัวพนักงาน ที่เขาใช้ติดหน้าอกเวลาทำงานให้และยังรับรองด้วยนะ ว่าจะต้องได้ทำงานประจำอย่างแน่นอน ผู้หญิงคนนี้ตกงานบ่อยมาก ปู่ทำพิธีสวดลงคาถาอยู่สักครู่ ไม่น่าเชื่อว่าคาถาของท่านได้ผลจริง ๆ<br />
<br />
หลังจากนั้นแค่เดือนเดียว เธอได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำตามที่ปู่นาคราชบอก จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ ปู่พุชงค์ท่านเมตตาลูกหลานมากเลย ไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน แต่ลูกหลานส่วนใหญ่พอได้ดีแล้วมักจะลืมท่าน พอเดือดร้อนก็มาขอให้ท่านช่วยอีก ท่านก็ช่วยโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ คนไม่มี <b>"ความกตัญญูกตเวที"</b> ย่อมเจริญยาก โดยเฉพาะทางธรรม เขาจะไม่สามารถศึกษาธรรมะได้เลย เพราะจิตของเขายังมืดบอดหลงอยู่ในโลกสมมติ ไม่มีคุณธรรม<br />
<br />
มีอีกรายหนึ่งหาเลี้ยงชีพในทางผิดศีลผิดกฏหมาย ปู่นาคราชพุชงค์ไม่สามารถที่จะช่วยได้ เขาค้ายาเสพติดมาหลายปีแล้ว แต่ยังขาดคู่ชีวิตที่ดี เขาต้องการจะได้คู่ครองที่ดี ปู่นาคราชบอกง่าย ๆ ว่าช่วยไม่ได้เพราะการกระทำทุกอย่างมีผล ถ้ากระทำผิดศีลผิดกฏหมายบ้านเมือง ก็จะได้รับอกุศลวิบากเมื่อเหตุปัจจัยที่จะส่งผลพร้อมแล้ว ทางกฏหมายบ้านเมืองก็จะลงโทษ ตนเองก็จะต้องเดือนร้อนทั้งกายและใจ ท่านช่วยไม่ได้ <b> "กรรมมีผลของกรรมมี" </b> ในเวลาต่อมาไม่นานนัก ฉันก็ได้ข่าวว่า เขาต้องใช้ชีวิตแบบหลบหนีตำรวจ ในที่สุดต้องหนีกลับเมืองไทย<br />
<br />
เรื่องการโปรดของท้าวนาคราชก็ขอจบลงเพียงแค่นี้ ยังมีอีกเยอะค่ะ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับของโลกทิพย์ ถ้าท่านหมั่นฝึกเจริญสมาธิอยูเนื่อง ๆ จนจิตมีพลังก็จะสามารถสัมผัสกับโลกทิพย์ได้เอง แล้วก็จะหายสงสัยว่า<b> "โลกลี้ลับโลกทิพย์และวิญญาณมีจริงมั้ย"</b> เมื่อก่อนฉันก็สงสัยเช่นกัน เกี่ยวกับเรื่อง<b> "จิต"</b> ก็เหมือนกัน เราควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะจิตสร้างภพชาติให้เรามาเกิดไม่รู้ว่ากี่แสนโกฏิกัป ถ้าเราสังเกตและเรียนรู้เกี่ยวกับ<b> "จิต"</b> ก็จะทราบว่า การที่กายต้องเดือดร้อนและใจต้องเศร้าหมองอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเหตุว่า "จิต"มีตัวอวิชชาคือความไม่รู้ตามความเป็นจริงของธรรมทั้งหลายที่ปรากฏขณะนี้<br />
<br />
จิตที่ไม่ได้รับการอบรมให้มีคุณธรรม ย่อมเป็นจิตที่เต็มไปด้วยความติดข้องต้องการและยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น ยากแก่การเข้าถึงธรรม ถ้าเราทุกคนพยายามฝึกอบรมจิตของตน ให้มีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะราบรื่นร่มเย็นเป็นสุข สังคมและประเทศชาติของเราก็จะสงบร่มเย็น มีสันติสุขและมีความมั่นคงยิ่งขึ้นwww.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-3347944901869694042011-07-22T08:04:00.000-07:002013-04-09T13:33:46.316-07:00ผลกรรมทันตา<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน...วันนี้ฉันมีเรื่องตลกจะเล่าสู่กันฟัง มันเป็นเรื่องตลกที่ราคาแพงพอสมควรทีเดียว เกิดจากการกระทำโดย<b> "เจตนา"</b> หรือ<b>"จงใจ"</b> ถ้าพูดตามหลักธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า <b> "กรรม" </b>ก็คือ<b> "เจตนาหรือจงใจ"</b> ซึ่งเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดพร้อมกับจิตและดับพร้อมกับจิตทุกขณะ แบ่งเป็น<b> "กุศลเจตนา"</b> และ<b> "อกุศลเจตนา"</b> การกระทำใด ๆ ก็ตาม ย่อมเกิดมาจากเหตุปัจจัย และผลของการกระทำนั้น ๆ ย่อมส่งผลเมื่อเหตุปัจจัยที่จะให้ผลปรากฏพร้อมแล้ว อนึ่งผลของกรรมมีวาระที่จะปรากฏ ย่อมแตกต่างกันไปตามอำนาจหรือแรงกรรมนั้น ๆ เรื่องที่จะนำมาเล่านี้ก็เป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง เป็นอุทาหรณ์สำหรับเตือนใจ ในการกระทำในชีวิตประจำวันของปุถุชนทั่ว ๆ ไป ถ้า <b>"จิต" </b>ได้รับการฝึกสติอยู่เนื่อง ๆ ความเดือดร้อนกายร้อนใจ ก็คงจะลดน้อยลงอย่างแน่นอน <br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPmr_QOomSoVEL0Ys9hpWweVs-SX4FHiOoyiboGCRvSwMlytkwhMFDNYSJSBA0FJlKVCCKY7AUPg3MH8prqQwc4mLl4d6LTxyuQSPipiFES5d_MWCbh-qCE7NcavdikEdYfzX7RzWtLoc/s1600/IMG_20110611_105159.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPmr_QOomSoVEL0Ys9hpWweVs-SX4FHiOoyiboGCRvSwMlytkwhMFDNYSJSBA0FJlKVCCKY7AUPg3MH8prqQwc4mLl4d6LTxyuQSPipiFES5d_MWCbh-qCE7NcavdikEdYfzX7RzWtLoc/s200/IMG_20110611_105159.jpg" width="200" /></a>เหตุการณ์ที่จะเล่านี้ ได้เกิดขึ้นหลายปีผ่านมาแล้ว แต่ฉันก็ยังจดจำเหตุการณ์นั้นได้อย่างไม่ลืมเลือน.....เรื่องเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่งของปลายฤดูร้อน ขณะที่เราทั้งครอบครัวกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ ซึ่งตามปกติทุก ๆ เช้า เราจะเปิดเพลงบทสวดมนต์ของพระแม่กวนอิม ทำให้จิตใจแช่มชื่นเบิกบานแต่เช้ากัน และขณะที่นั่งรับประทานไปก็สนทนากันไปด้วย เสียงสวดมนต์เบา ๆ เป็นภาษาจีนไพเราะมาก จิตใจมันเบาสบาย บรรยากาศนอกบ้านก็ดี แดดอ่อน ๆ ดูเย็นสบายตา ต้นไม้ในสวนรอบบ้านยังเขียวสดชื่นกลมกลืนกับพื้นหญ้าซึ่งเพิ่งตัดใหม่ ๆ แต่ความสุขนี้ก็ปรากฏไม่นานเลย อยากจะให้มัน<b> "สุข" </b>อยูเช่นนั้น มันก็ฝืนกฏธรรมชาติไม่ได้ <br />
<br />
ระหว่างที่เรากำลังรับประทานอาหารกันตามสบาย ๆ ทันใดนั้น...สามีของฉันได้เหลือบไปเห็น <b>"แมว"</b> ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากบ้านใครที่ไหน มันกำลังเขี่ยดินในสวนเพื่อที่จะปลดทุกข์ แมวที่เมืองสวิตเซอร์แลนด์นี่ มันขี้อิจฉาน่าดูเลยนะ เจ้าของมันขี้อิจฉายังไม่พอ มันคงจะติดเชื้อโรคขี้อิจฉาจากเจ้าของนั่นแหละ พวกฝรั่งสวิสนี่แปลกอย่างหนึ่ง เห็นชาวบ้านข้างเคียงทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย เขาจะต้องทำตาม ๆ กัน กลัวมากกลัวว่า คนอื่นจะดีเลยหน้า นี่พวกแมวก็เหมือนกัน บ้านตัวเองมีส้วมก็ไม่ใช้ ส้วมแมวเขามีให้โดยเฉพาะแมว มีวัตถุสำหรับกันเหม็นให้ด้วยนะ แต่มันคงไม่สนุกเหมือนไปเที่ยว "อึ" เที่ยว "ฉี่" ตามสวนชาวบ้านมั้ง บางครั้งรีบร้อนหน่อย แกก็อึทิ้งซากไว้ใให้เราเกิดโทสะเล่น ๆ งั้นแหละ เช้าวันนั้นสามีฉันเหลือทนจริง ๆ พอเห็นแมวหน้าด้านตัวนี้ ทำท่ากำลังจะจ่อก้นลงดิน เขารีบเปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว มือล้วงกระเป๋ากางเกง ได้พวงกุญแจแล้วก็รีบปาไปที่แมว โดยไม่ต้องคิดอะไร กะว่าจะไล่ให้แมวมันไปจากที่นั่น แต่มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเลยนะ<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLtXxpm6LLuGxrz-WlAc-ix_BHvfCTV78BWUT53-1kNOwXd4-mTM_JiBMlEqwC8MqeOR389VO5__QTyUPABtlDah7GKXZztUt3vnEvXlUpOVMOsVHhreGVZbANLNKqr4XdX9Y_0fKZJyw/s1600/IMG_20110611_105150.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLtXxpm6LLuGxrz-WlAc-ix_BHvfCTV78BWUT53-1kNOwXd4-mTM_JiBMlEqwC8MqeOR389VO5__QTyUPABtlDah7GKXZztUt3vnEvXlUpOVMOsVHhreGVZbANLNKqr4XdX9Y_0fKZJyw/s200/IMG_20110611_105150.jpg" width="200" /></a> พอมันเห็นพวงกุญแจลอยมา มันก็หลบถอยไป แล้วก็จ้องมองพวงกุญแจอยู่ครู่หนึ่ง มันคงจะคิดก่อนนะ ว่าจะทำยังไงดี นึกไม่ถึงว่าแมวบ้านเมืองนี้ มันฉลาดมาก ๆ มันรี่เข้าไปที่พวงกุญแจแล้วก็ดม ๆ ดูก่อน แล้วหันมามองทางพวกเรา เสร็จแล้วก็คาบเอาพวงกุญแจวิ่งแจ้นหายริบไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันนั้นมา เราก็ไม่เคยเห็นแมวตัวร้ายนั้นอีกเลยแม้แต่เงา <br />
<br />
กุญแจพวงนั้นเป็นกุญแจที่สำคัญด้วยซิ รวมหลายอย่าง กุญแจบ้านกุญแจห้องกุญแจสถานที่สำคัญ พวกเราก็ได้แต่คิดว่า ทำยังไงดี...ก็ต้องช่วยกันหาพวงกุญแจกันรอบบ้านน่ะซิ พวกแมวชอบมานอนเล่นที่รั้วต้นไม้ ซึ่งเป็นเขตติดกับชาวบ้าน เราก็หาตามใต้ต้นไม้ที่เป็นรั้ว เพราะคิดว่ามันคงจะเอาไปทิ้งไว้ที่นั่น แต่ก็ไม่เจอ ในที่สุดต้องไปจ้างช่างตัดต้นไม้ มาตัดรั้วต้นไม้ออกหมด เหลือแต่โคนต้นไว้ ทั้ง ๆ ที่เสียดายมาก เพราะว่าในฤดูใบไม้ผลิ รั้วต้นไม้นี้ จะออกดอกสีขาวเต็มไปหมด สวยงามน่าดูมาก แต่ทำไงได้ เราต้องยอมตัดต้นไม้รั้วทิ้งหมดเลย แต่ก็ยังไม่เจอพวงกุญแจ เสียเงินเปล่า<br />
<br />
นอกจากนั้นเรายังได้รับผลข้างเคียงตามมาอีกด้วยล่ะ คือตอนที่ไม่มีรั้วกั้นพรมแดน รู้สึกว่ามันโล่งไปหมด เวลาอากาศดี ๆ จะออกไปทำกิจกรรมในสวนก็ไม่สะดวก ต้องคอยดูว่าชาวบ้านเขาจะออกมานั่งในสวนมั้ย ถ้าเขาออกมา เราก็ต้องอยู่ในบ้านกัน ตอนนั้นสุขภาพจิตแย่ตาม ๆ กัน ถึงกับคิดจะสร้างกำแพงกั้น จะได้ไม่ต้องมีปัญหากับแมวอีก บางครั้งแมวมันบาดเจ็บมาหา เราก็พาไปหาหมอรักษาให้ ค่ารักษาก็แพง หนักหน่อยไม่มีเจ้าของ เราก็ต้องรับไว้เลี้ยงเอง แต่ก็ดีนะ ได้ช่วยชีวิตสัตว์ สำหรับเรื่องกุญแจนี่ หลายปีเลยกว่าจะได้คืน จนต้นไม้ที่รั้วขึ้นสูงเหมือนเดิม เป็นเวลาร่วม ๓ ปี<br />
<br />
มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของบ้านซึ่งอยู่ถัดไปข้างล่างอีกหลัง เขาเอาพวงกุญแจมาถามว่า ใช่ของเรามั้ย เขาเจออยู่ที่ใต้เตียงนอนของเขา ไม่รู้มันมาได้อย่างไร เขาก็เที่ยวถามมาหลายบ้านแล้ว ยังไม่เจอเจ้าของเลย แหม...เจ้าแมวตัวนี้มันฉลาดซ่อนของ ไม่มีใครรู้เลย บังเอิญเจ้าของ เขาทำความสะอาดใต้เตียง นี่ถ้าเขาทำความสะอาดบ่อย ๆ เราก็คงจะได้คืนไปนานแล้วล่ะ.... เรื่องนี้ก็ทำให้เสียสตังค์ไปมากพอสมควร นี่แหละผลกรรมเห็นทันตาเพราะแรงของ<b> "เจตนากรรม"</b> จึงได้รับผลทันทีทันตาในชาตินี้ เพราะฉะนั้น เราท่านทั้งหลาย จึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท <b>"กรรมมี ผลของกรรมย่อมมี" </b>ขอทุกท่านโปรดพยายามสะสมแต่กรรมดีเถิด.....สวัสดีจ๊ะ</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-83624089001870675882011-07-17T15:50:00.000-07:002013-02-19T15:22:27.514-08:00ปาฏิหาริย์หลวงปู่ฤาษี ๑๐๘<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
เรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิฤิทธิ์ของปู่ฤาษีนี่มีมากมาย เราเกิดมากหลายภพหลายชาติแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เราต้องมาเกี่ยวข้องกับปู่ฤาษีกัน เพราะเหตุว่าบางชาติ เราอาจจะเคยเป็นฤาษีอยู่ตามถ้ำตามป่ามาแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ หรืออาจจะเคยเป็นลูกศิษย์ปู่ฤาษีก็ได้ ดังนั้นชาตินี้จึงได้มาเกี่ยวข้องกันอีก ท่านกจะคอยติดตามช่วยเหลือลูกศิษย์ของท่าน ฉันมีประสบการณ์เกี่ยวกับปู่ฤาษีจะเล่าสู่ฟังจ๊ะ<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right; margin-left: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWCJnLfVLX_-itEEi8rDOqKb-GQNcLnbTQoyzXCi7VLXbcEkwsNB-uQcoT_vdD-pzswNnxsY07B4Ogiy1Huk2DTMYcp_VHuHTJ3nRn4LpoYRlWXDBBg3qsaqqSjbcSJ9NrC7oHV4_YONg/s1600/IMG_20110717_203638.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWCJnLfVLX_-itEEi8rDOqKb-GQNcLnbTQoyzXCi7VLXbcEkwsNB-uQcoT_vdD-pzswNnxsY07B4Ogiy1Huk2DTMYcp_VHuHTJ3nRn4LpoYRlWXDBBg3qsaqqSjbcSJ9NrC7oHV4_YONg/s200/IMG_20110717_203638.jpg" width="200" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">พระธาตุปู่ฤาษี ๑๐๘</td></tr>
</tbody></table>
เมื่อปี ค.ศ.2008 ฉันได้รู้จักกับหลวงปู่ฤาษี ๑๐๘ โดยท่านมาเอง ท่านบอกว่าจะมาช่วยลูกหลานให้มีกินมีใช้ไม่อด ท่าแนะนำให้เรียกท่านว่า<b style="color: #eeeeee;"><span style="color: #eeeeee;"> "หลวงปู่ฤาษี ๑๐๘"</span> </b><span style="color: #eeeeee;"> </span>ท่านไม่ใช่เป็นฤาษีธรรมดา ท่านศึกษาพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย มีทั้งหมด ๑๐๘ ท่าน ตอนที่สัมผัสญาณของท่าน รู้สึกว่าท่านมีพลังเยอะมากเป็นพิเศษ ท่านมาสอนการฝึกพลังต่าง ๆ ให้ทั้งครอบครัว พอค่ำมาเราก็จะสวดมนต์ทำวัตรเย็นพร้อมกัน ท่านสวดมนต์เป็นภาษาของท่านเพราะมาก คล้าย ๆ ภาษามคธ จากนั้นหลวงปู่ก็จะบรรยายธรรมะขั้นพื้นฐานให้พวกเราฟัง จบการฟังธรรมแล้ว ก็จะมีการอธิบายเกี่ยวกับการฝึกพลังต่าง ๆ ท่านสาธิตให้ดูก่อน ต่อจากนั้นมีการไล่เดี่ยว พอเห็นว่าพวกเราพอจะเข้าใจและสามารถฝึกได้ ท่านก็จะให้ฝึกพร้อม ๆ กัน<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right; margin-left: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_1LaNTe46N5qGh_CNTyQSvhe77qeKgpFO6kI_jtxXng1sigsPZs6k2R7QYP7AGKSkYf7NUhT9BiVQ1cIUT7ShmBy_gQfnf89dko3_mnn_zVYr9BMHQYzdAbMVI2DXLwhTz1U2AVxMzDY/s1600/IMG_20110713_114648.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_1LaNTe46N5qGh_CNTyQSvhe77qeKgpFO6kI_jtxXng1sigsPZs6k2R7QYP7AGKSkYf7NUhT9BiVQ1cIUT7ShmBy_gQfnf89dko3_mnn_zVYr9BMHQYzdAbMVI2DXLwhTz1U2AVxMzDY/s200/IMG_20110713_114648.jpg" width="200" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">องค์ปู่ฤาษี ๑๐๘</td></tr>
</tbody></table>
การฝึกพลังปราณ บางครั้งใช้วิธีท่องคาถาแค่สามคำสั้น ๆ แต่ท่องหรือภาวนาแบบติดต่อกันโดยไม่หยุดหายใจ คือกลั้นลมหายใจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเด็ก ๆ เขาเรียนกันเร็ว ฉันก็เป็นร่างให้ครูบาอาจารย์ใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอนในตอนภาคหัวค่ำ พอภาคดึกหลังเที่ยงคืนถึงตีสอง จะเป็นการเรียนพิเศษของฉันส่วนตัวกับหลวงปู่ ฝึกหนักตลอดสองชั่วโมง นั่งอยู่ในท่านเดียวตลอด มีพลังมาก ร้อนเหงื่อชุ่มเปียกไปทั่วกายเลย ท่านบอกว่าถ้าจะเรียนกับท่านต้องต้งใจเรียนจริง ๆ จะได้เห็นความมหัศจรรย์ของพลัง ทุกคนก็สนุกกับการเรียนกับหลวงปู่ฤาษี ท่านเปลี่ยนกันมาสอน แต่ละวันจะเรียนและฝึกไม่เหมือนกัน เพราะท่านมีความสามารถแตกต่างกันตามการสะสมของท่าน พวกเราก็ชอบเรียนตั้งใจฝึกกันจนเป็นนิสัย<br />
<br />
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: right; margin-left: 1em; text-align: right;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCrPKzqdGL0NLZADu-rHHuvQOovx1toV7IQ9gPHpMqqRmeU3UIi5EinjHHKh_bw5bRI0tGxfJERydH_G0RwcjZJ8n0cQKeEKBXZVT7B0ZhIOwd19EX_iOIPTi-NT-onORvQlMU5t0DvWU/s1600/IMG_20110713_114410.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="150" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCrPKzqdGL0NLZADu-rHHuvQOovx1toV7IQ9gPHpMqqRmeU3UIi5EinjHHKh_bw5bRI0tGxfJERydH_G0RwcjZJ8n0cQKeEKBXZVT7B0ZhIOwd19EX_iOIPTi-NT-onORvQlMU5t0DvWU/s200/IMG_20110713_114410.jpg" width="200" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;">องค์ปู่ฤาษี ๑๐๘</td></tr>
</tbody></table>
มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่แสดงปาฏิหาริย์ เช้าวันนั้นอากาศหนาวมาก เป็นฤดูใบไม้ร่วง มีหมอกลงขาวไปหมด มองไม่เห็นถนนหนทาง ต้นไม้ ภูเขาและบ้านคน ได้มีคนรู้จักกัน โทรมาบอกสามีว่า เช้านี้ให้รีบไปเก็บแอปเปิ้ลและผักที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง เจ้าของเขาไม่ต้องการ เพราะว่าเขาพากันย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมด ทิ้งสวนผักผลไม้ไว้ ใครจะเอาก็ได้ ฟาร์มนี้ใหญ่มาก เขาปลูกผักและผลไม้ขาย ส่งตามร้านอาหารและร้านค้าตามเมืองต่าง ๆ ฉันทราบทันทีเลยว่า เป็นเพราะหลวงปู่ฤาษีไปดลใจให้คนโทรมาบอกแน่ ๆ เลย ลองถามท่านดู ท่านก็บอกว่าใช่ เช้านั้นเป็นเช้าที่ดีมาก ๆ เพราะว่าเริ่มต้นด้วยกุศลวิบาก เราทั้งครอบครัวได้พากันเก็บผักและผลไม้มาเก็บไว้กินระยะยาว แอปเปิ้ลเก็บไว้กินได้ข้ามปี ผักก็เยอะมากถึงกับแช่ตู้แช่แข็งไว้ นอกจากนั้นยังแบ่งปันคนรู้จักกันเอาไปกินด้วย<br />
<br />
หลังจากที่สามีและลูก ๆ ได้เรียนและฝึกพลังจนเป็นที่ยอมรับของหลวงปู่แล้ว จากนั้นก็ให้ฝึกกันเองทุกวัน นาน ๆ ทีท่านก็มาทดสอบบ้าง เป็นการทบทวนความรู้ ท่านก็มาสั่งให้ฉันเข้ากรรมฐานแบบอุกกฤษฏ์เป็นระยะ ๆ ครั้งละ ๒๔ ช่วโมงบ้าง ๒ วันบ้างและ ๓ วันบ้าง แล้วแต่ท่านจะสั่ง ถือศีล ๘ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ บางคร้งจะฝึกแบบฤาษี คือรับประทานแต่ผลไม้ น้ำผลไม้ โยเกริ์ตและน้ำเปล่าเท่านั้น ถ้ามีการเข้ากรรมฐานแบบอุกกฤษฏ์เมื่อไหร่ หลังจากนั้นก็จะมีอะไรพิเศษ มีครั้งหนึ่งท่านสั่ง ให้เตรียมดอกไม้แห้ง (ดอกไม้ที่บูชาพระแล้ว) ดินเหนียว ซึ่งท่านจะสั่งเองว่าให้ไปเอาที่ไหนและน้ำผึ้ง ท่านบอกว่าจะมาสร้างองค์หลวงปู่ฤาษีให้ไว้แจกลูกหลาน แล้วท่านก็เลือกวันเวลาที่จะมาทำ บางรุ่นก็มาทำตอนดึกเพราะต้องใช้ความสงบเป็นพิเศษ แต่ละรุ่นทำไม่มากและมีความศักดิ์สิทธิ์ขลังมากเลย มาทำให้แค่ ๔ รุ่นเท่านั้น แต่ละครั้งก็จะมีน้องสาวฉัน ทำหน้าที่สวดมนต์ตามที่ท่านสั่ง ว่าจะสวดกี่จบ แล้วก็นั่งทำสมาธิแผ่พลังให้ นอกจากนั้น ยังมีการทำพิธีปลุกเสกในตอนดึกเป็นเวลาหลายคืน จนองค์ของปู่มีความขลังมากอย่างไม่น่าเชื่อแต่ก็จริงนะ<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
หลวงปู่ได้นำพระธาตุของหลวงปู่ฤาษี ๑๐๘ มามอบไว้ให้แจกลูกศิษย์ของท่านด้วย ฉันก็ได้แจกไปเยอะ ถวายพระที่ไปจากเมืองไทยบ้าง ฝากคนนำไปถวายตามวัดที่เมืองไทยก็มาก พระธาตุของสวย ๆ ทั้งนั้น มีคุณสมบัติ ๑๐๘ สมชื่อ มีข้อแม้อยู่ว่า ผู้ใดมีไว้บูชาผู้นั้นต้องหมั่น ทำทาน รักษาศีล สวด<br />
มนต์ภาวนาและฟังธรรมสม่ำเสมอ การอธิษฐานจิตจึงจะได้ผลสมปรารถนา แต่ฉันเชื่อว่าการทำสิ่งใด ๆ ย่อมมีผลทั้งสิ้น<b> "ทำดีได้ผลดีตอบแทน ทำไม่ดีก็ย่อมได้สิ่งไม่ดีตอบแทน"</b> มันเป็นกฏธรรมชาติตายตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าทำดีแบบมีสติปัญญาประกอบด้วย ก็จะมีผลสูงกว่านั้น การละความไม่มีตัวตนได้นั้นเป็นประโยชน์สูงสุดของพระพุทธศาสนา แต่สำหรับปุถุชนอย่างเราท่านทั้งหลาย ก็คงต้องสะสมปัญญาขั้นต้นทีละเล็กละน้อยไปก่อน ก็ถือว่าเป็นโชคอย่างมหันต์แล้วล่ะ เรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฤาษี ๑๐๘ ก็ยังมีอีกเยอะ......โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ<br />
<br />
...............................................</div>
www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-80442730994075106172011-07-15T06:59:00.000-07:002011-07-16T15:02:15.487-07:00วิบากกรรมจากการทำแท้งการกระทำใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่ากระทำดีหรือกระทำชั่ว กระทำแบบเปิดเผยหรือแบบลับ ๆ ย่อมมีผลทั้งสิ้น ผลของกรรมนี้ทางธรรมะเรียกว่า<b style="color: red;"> "วิบากกรรม"</b> แบ่งได้ ๒ ประเภทคือ<b style="color: #93c47d;"> </b><b><span style="color: #93c47d;">"กุศลวิบาก" </span></b>หมายถึงผลของกรรมดี (กุศลกรรม) และ<b style="color: #9fc5e8;">"อกุศลวิบาก"</b><span style="color: #073763;"> </span><span style="color: #9fc5e8;"> </span>หมายถึงผลของกรรมชั่ว (อกุศลกรรม) เราท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพราะผลแห่งกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้วแต่อดีตชาติ จึงได้ปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ การดำรงชีวิตอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความติดข้อง ในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ในแต่ละขณะจิตโดยที่มีอวิชชาเป็นมูลเหตุ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่ปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล เป็นเพียงสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นเพื่อให้จิตรู้แล้วก็ดับไป เกิดขึ้นสืบต่ออย่างรวดเร็ว เพราะความที่สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริง จิตจึงยึดว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นของเรา เป็นเราเห็น เราได้ยิน เรารู้รส เราได้กลิ่น เราสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เรานึกคิด เพราะเหตุว่า<b> "อวิชชา"</b> ไม่สามารถที่จะรู้วิชชาได้ จึงทำให้เราพากันกระทำกรรมดีบ้างกรรมชั่วบ้าง สลับกันไปในชีวิตประจำวัน ตราบใดที่เรายังไม่ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตยังไม่ได้รับการอบรมและฝึกเจริญสดิอย่างต่อเนื่อง ปัญญาย่อมไม่เกิด เราก็เหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่ในโลกมืด ก็ย่อมกระทำอกุศลกรรมมากขึ้นได้ เพราะจิตไม่สามารถที่จะแยกความแตกต่างของกุศลและอกุศลได้ ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด ต้องฟังและพิจารณาจนกว่า จะเกิดความเข้าใจอย่างมั่นคง จึงจะเรียกว่ามี<span style="color: lime;"> "ธรรมะเป็นที่พึ่ง" </span>ได้<br />
<br />
วันนี้ฉันมีเรื่องจะเล่าสู่กันฟัง เกี่ยวกับผลกรรมหรือวิบากกรรมจากการกระทำแท้ง เคยมีเพื่อนรุ่นน้องเขามาให้ฉันตรวจกรรมให้ เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตตนเอง ไม่เคยประสบกับความสมหวังเลย เคยแต่งงานกับชาวสวิส เข้าโบสถ์ทำพิธีแบบฝรั่งและจัดงานเลี้ยงใหญ่โต หลังจากนั้นอยู่ด้วยกันได้สองปี สามีก็แอบไปมีผู้หญิงไทยคนใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น สามียังหลอกให้เธอกู้เงินธนาคารร่วมกัน ตอนหลังสามีไม่ยอมส่งดอกเบี้ยและเงินต้น อ้างว่าไม่มีเงิน แถมยังถูกฟ้องหย่าอีก โดยที่เธอเองไม่ผิดเลย เธอต้องทำงานใช้หนีธนาคารอยู่หลายปี แต่ก็ไม่สามารถจะชำระหนี้ได้หมดคนเดียว เพราะมีรายได้น้อยมาก เธอทำงานโรงงานแห่งหนึ่ง เลยถูกทางธนาคารฟ้องล้มละลาย ชีวิตเธอลำบากมาก พอหลังจากหย่ากับสามีแล้วก็ตกงาน ต้องย้ายที่อยู่จากที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ ก็ต้องย้ายไปอยู่อพ้าตเม้นเล็ก ๆ ต่อมาก็เริ่มหางานใหม่ ได้งานเสริฟในร้านอาหารไทย เธอขยันทำงานดี จนได้เลื่อนตำแห่งเป็นหัวหน้างานฝ่ายเสริฟ ทำงานได้ไม่นาน ก็ประสบกับความล้มเหลวอย่างรวดเร็วอีก พร้อมกับความรักใหม่ซึ่งเธอเพิ่งจะเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่นานนัก เธอมักจะโดนพวกผู้ชายที่เธอรัก ทุบตีทุกครั้งที่มีเรื่องขัดใจกัน บางครั้งก็โดนปิดประตูบ้านไม่ให้เธอเข้าบ้านไปนอน เธอต้องไปนอนในชั้นใต้ดิน ที่เก็บของซึ่งหนาวเย็นและทรมานทั้งคืน เธอเป็นคนใจกว้าง<br />
<br />
ระยะหลัง ๆ นี้ เธอชอบเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนผู้หญิงและเพื่อนผู้ชายเป็นประจำ และชอบเลี้ยงเพื่อนไม่อั้น พอเธอตกงาน พวกเพื่อนก็พากันเมินหน้าหนีหมด บางครั้งดวงเธอตกต่ำมากไม่มีงานไม่มีเงินต้องกินอาหารแมว ต้องดื่มน้ำก็อก เพราะไม่มีเงินซื้อ แถมสุขภาพแย่ ป่วยเป็นโรคเนื้องอกถึงกับต้องผ่าตัด เธอไม่มีเพื่อนไม่มีญาติเลย ฉันและสามีก็เป็นคนพาเธอไปปรึกษาหมอและยังเป็นคนเซ็นอนุญาตหมอผ่าตัดให้เธอด้วย เวลาไปหาหมอ ฉันก็ต้องทำหน้าที่เป็นล่ามทุกคร้งไป เธอได้มาหาฉันที่บ้านให้ตรวจกรรม กได้พบว่า เธอเคยทำแท้งลูกมาแล้วถึงสองครั้ง วิญญาณเด็กเขายังไม่ยอมไปไหน เพราะเขาอาฆาตมาก ๆ ไม่ยอมให้แม่มีความสุขเลย ไปทำงานที่ไหนแต่ละแห่ง ตอนแรก ๆ ก็จะราบรื่นดีอยู่ แต่พอทำไปไม่นานนัก ก็จะมีเรื่องกับผู้ร่วมงานและกับหัวหน้าหรือผู้จัดการใหญ่ จะเป็นเช่นนี้เสมอไป ในที่สุดก็ต้องโดนไล่ออกจากงาน มีใครมารักมาชอบเธอแต่ละคน ก็จะทำท่าดูเหมือนว่า จะรักจริงจัง จะมีโครงการแต่งงานใหญ่โตหรู่หรา แต่แล้วก็ฝันสลายทุกรายไป เธอได้พยายามทำบุญและถวายสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนกุศล ให้แก่วิญญาณลูกของเธออยู่บ่อย ๆ แต่่วิญญาณเด็กก็ยังไม่ยอมไปจากเธอ พวกเขายังคงติดตามเธออยู่<br />
<br />
ทุกวันนี้เธอพยายามสั่งสมบุญจากการฟังธรรมบ้าง การอ่านหนังสือธรรมะบ้าง และทำทานบ้างตามโอกาส แต่ชีวิตดูเหมือนว่าจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม งานก็ไม่มีทำและอยู่คนเดียว จะกลับเมืองไทยก็ไม่มีญาติพี่น้อง เป็นชีวิตที่ทุกข์มาก ๆ เลย น่าสงสารมาก ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยเขา ให้พ้นจากทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าเรื่องวิบากกรรมนี้เป็นของเฉพาะตน ใครทำก็เป็นของคนนั้น และเป็นผลของกรรม ที่ได้กระทำมาแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ใช่เฉพาะกรรมในชาตินี้ แต่ยังมีกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วอีกในหลาย ๆ ชาติ ซึ่งเราไม่สามารถจะทราบได้ว่า เมื่อไรกรรมนั้นจะส่งผลในชาติใดบ้าง<br />
<br />
เรื่องวิบากกรรมของผู้หญิงคนนี้ ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ให้ทุกท่านระลึกเสมอว่า<b> "กรรมมีผลของกรรมย่อมมี"</b> เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะด้วยผลของกรรมดี ผลของการรักษาศีล ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การกระทำผิดศีลจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็มีผลทั้งสิ้น ผลจะหนักหรือเบา จะเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่ที่เจตนาและแรงกรรมด้วย เราไม่สามารถที่จะหนีวิบากกรรมได้เลย นอกจากยอมรับตามความเป็นจริง แล้วพยายามสร้างกรรมดีให้มากขึ้น จะได้ไม่เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ได้มาพบพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น <b style="color: red;"> "โชคลาภอันประเสริฐยิ่ง" </b><br />
<br />
ฉะนั้นการคิดที่จะทำลายชีวิตหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากกระทำของตนนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง ควรรับผิดชอบในการกระทำของตนด้วยความยินดี การมีคนมาเกิดด้วยถือว่า เป็นการได้โชคลาภและยังช่วยให้ชีวิตของคนๆ หนึ่งได้มีโอกาสเกิดมาสร้างบุญกุศล มากระทำสิ่งที่ดี ๆ ไว้บนโลกด้วย ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่า ผู้ที่จะมาเกิดเป็นลูกของตนนั้น จะเป็นคนดีหรือคนเลว เพราะขึ้นอยู่ที่วิบากกรรมของเขาเองด้วย ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนไม่ทำลายชีวิตเขา เราก็จะมีชีวิตที่ไม่ทุกข์มาก ไม่เดือดร้อนกายร้อนใจ เพราะว่าไม่มีใครมาคอยติดตาม จองเวรจองกรรมกับเรา ขอทุกท่านจงเป็นสุขด้วยการไม่เบียดเบียนเถิดwww.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-549439000391345017.post-56998726584906468642011-07-10T17:08:00.000-07:002011-07-11T04:44:47.932-07:00เสวยอกุศลวิบากสวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน...วันนี้ฉันเริ่มเปิดบล็อกใหม่อีก เหตุผลคือต้องการเขียนบทความไว้เป็นที่ระลึก ครบรอบการรอดชีวิต จากการเสวยอกุศลวิบาก เมื่อปีที่ผ่านมานี้ ตรงกับวันที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๕๓ ฉันได้ทุกข์ทรมานกับการปวดท้องอย่างหนักมาก คิดว่าคงไม่รอดแน่ เนื่องจากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีอักเสบ มีอาการอืดท้องแน่ท้อง และปวดท้อง ปวดขึ้นไปที่ลิ้นปี่ เสียดไปที่ชายโครงข้างขวาและปวดเสียดไปที่หลังด้วย ชอบมีอาการปวดหลังรับประทานอาหารมัน ปวดอยู่หลายชั่วโมง โดยเฉพาะชอบปวดตอนสี่ทุ่มไปจนถึงตีสอง ต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฺฉินบ่อยมาก รวมฉุกเฉินประมาณ ๖ ครั้ง จึงได้รับการผ่าตัด กว่าจะได้ผ่าตัดก็ยุ่งยากเหลือเกิน เพราะต้องรอหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่านิ่วในถุงน้ำดี โดยใช้กล้องส่องผ่านหน้าท้อง (<span style="font-size: x-small;">Laparoscopie Chalecystectomy</span>) หมอไปพักผ่อนต่างประเทศสองสัปดาห์ ฉันก็ต้องทนปวดท้องยืดยาวไปอีกตั้งสองสัปดาห์ จึงจะได้รับการผ่าตัด มันเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตของฉัน ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะไม่ทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง หลังจากผ่าตัดแล้ว ฉันเป็นคนมีโรคประจำตัวที่แย่อยู่แล้ว คือโรค<span style="font-size: x-small;"> SLE จึง<span style="font-size: small;">กลัวว่าโรคประจำตัวมันจะทำเรื่องซ้ำเติมอีก จึงต้องมีการปรึกษากับหมอหลายฝ่ายจนแน่ใจก่อนที่จะมีการผ่าตัดผ่าตัด </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;">ผลการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี พอวันรุ่งขึ้น หมอมาเยี่ยมและเช็คดูแผลผ่าตัด จากนั้นหมอก็ไล่กลับบ้านเลย แหม...ดีใจที่สุดเลย ที่หมอไม่กักตัวไว โรงพยาบาลที่สวิตเซอร์แลนด์ใหญ่โตทันสมัย สะอาดและดูแลคนไข้ดีมาก แต่คนไข้ไม่ค่อยมี เงียบสงบดีแต่กลางคืนก็น่ากลัวนะ กลัวว่าจะเจอแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยี่ยม เพราะนอนคนเดียว ห้องหนึ่งมีแค่ ๒ เตียง แต่ก็อยู่คนเดียวทุกทีที่ไปฉุกเฉิน อาหารก็ดีอยู่หรอกสำหรับพวกเขา แต่สำหรับคนไทยก็บอกตรง ๆ ว่าขืนอยู่นาน ๆ คงได้โรคกระเพาะอีกโรคหนึ่งแน่ ๆ เลย เพราะรู้สึกว่ากินไม่ค่อยอิ่มท้อง</span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"> การผ่าตัดแบบใช้กล้องส่องผ่านทางหน้าท้อง เป็นวิธีที่ทันสมัย แต่ว่าค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง แผลไม่กว้างมาก แค่อย่างมาก ๑ เซ็นติเมตร เจาะ ๔ แห่ง หลังผ่าตัดเพียงสัปดาห์เดียวก็เดินทางไปไหนไกล ๆ ได้โดยไม่มีปัญหา เรื่องอาหารการกิน ก็กินตามปกติ แต่ของหวานจัดมันจัดต้องลดลงอย่างมาก บางครั้งก็ต้องยอมอดเพื่อสุขภาพ เมื่อก่อนแกงกะทิไม่มันไม่อร่อย ต้องมันจัด ๆ ถึงจะกิน ชอบทำขนมหวานด้วยกะทิและต้องหวานมันถึงที่ด้วยนะ ถึงจะอร่อย เดี๋ยวนี้เลิกคบหัวกะทิเด็ดขาด แต่ก็ยังตัดกันไม่ขาด หันมาคบหางกะทิแทน ก็ชินไปเอง ส่วนแกงกะทิก็จะเปลี่ยนเป็นแกงน้ำมันพืชแทน แกงคั่วแห้ง ของหวานก็ทำแบบหวานอ่อน ๆ ก็อร่อยได้เหมือนกัน </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"> หลังจากผ่าตัดมาได้ ๓ สัปดาป์ นึกไม่ถึงว่าจะเจอนิ่วเล่่นงานรอบสองอีก แบบนี้ก็มีด้วย ถุงน้ำดีถูกตัดออกไปแล้ว แต่ทำไมอยู่ดี ๆ มันปวดท้องอาเจียน อาการเหมือนกับที่เคยเป็นทุกอย่างเลย ปวดทั้งวันไม่มีเบรกเลย ในที่สุดต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินอีก ต้องไปนอนคนเดียว แถมเจอห้องเดิมอีก งวดนี้ดูท่าเจ้ากรรมนายเวรแกเอาจริงแฮะ ไปนอนค้างคืนหนึ่งคืนเพื่อรอเช็ค เพราะเป็นวันเสาร์ไม่มีหมอใหญ่ตรวจ น้องสาวนอนอยู่ที่บ้าน เขาฝันเห็นฉันเดินกลับบ้านแต่ไม่มีหัว ส่วนฉันเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ก็มีเสียงคนปลุก สั่งให้ลุกขึ้นสวดมนต์ บอกว่า<b> "ดวงขาด ให้สวดพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรและอนัตตลักขณสูตร" </b>ฉันก็ลุกขึ้นมานั่งสวด รู้สึกไม่ค่อยมีแรงจะลุกนั่ง เพราะโดนมอร์ฝีนไปเยอะมาก แก้ปวด เวลาพยาบาลฉีดมอร์ฝีนให้ เขาจะถามว่ามีความปวดขนาดไหน เขาจะบอกความปวด ค่าเป็นตัวเลข ๑-๑๐ ฉันก็จะบอกว่า ราว ๆ ๘-๙ เพราะมันปวดมากจริงๆ บางครั้งฉีดแล้วยังปวดอยู่ เขาก็ต้องเพิ่มให้อีก </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"> ในที่สุดฉันก็ต้องโดนผ่าตัดอีกครั้ง คราวนี้ใช้กล้องส่องเข้าทางปาก เพราะนิ่วแกหลุดจากถุงน้ำดีก่อนการผ่าตัดครั้งแรก ไปค้างอยู่ที่ท่อน้ำดี เพิ่งจะมีอาการปวดอย่างกระทันหัน การผ่าตัดแต่ละครั้งก็โชคดี ได้หมอที่เชี่ยวชาญผ่าตัดให้ อาศัยเส้นอาศัยบารมีเพื่อนของสามี เขามีเพื่อนที่รู้จักหมอเก่ง ๆ ที่โรงพยาบาล ก็เลยเลือกหมอได้ตามต้องการ และนอกจากนั้นก็ยังได้รับกำลังใจจากสามี ลูก ๆ ญาติพี่น้องและเพื่อน ช่วยส่งพลังจิตไปช่วย คุณแม่และน้อง ๆ ที่เมืองไทยก็ช่วยกันทำบุญ และปล่อยชีวิตสัตว์ให้เป็นระยะ ๆ เป็นการไถ่บาปที่เคยฆ่าและเบียดเบียนเขา จึงได้มีวิบากกรรมหนักเช่นนี้ </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"> การผ่าครั้งหลังนี้สุดแสนจะทรมาน ปวดมาก ๆ เพราะไม่ได้วางยาสลบแบบหมดตัว ต้องร้องครวญครางจนหมอตกใจ ถึงกับหยุดพักการทำงาน แล้วก็ฉีดยาแก้ปวดให้อีก แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ทั้ง ๆ ที่ปวด แต่ฉันก็ลืมตาดูจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาที่หมอทำงาน หลังผ่าตัดแล้วเสียเลือดมาก ถ่ายเป็นเลือดตลอดเวลาอยู่สามวัน ต้องไปโรงพยาบาลฉุกเฉินอีกครั้ง และต้องไปส่องลำไส้อีกครั้ง โอ้ย...ยุ่งไปหมด ขณะที่ส่องลำไส้เลือดไหลตลอดเวลา ท้องแข็งเพราะลมเต็มท้อง พอหมอเอากล้องออกจากท้อง ลมระเบิด (ผายลม) เสียงดังสนั่นห้องพร้อมกับเลือดกระเด็นถูกพยาบาลเปียกตาม ๆ กัน พื้นห้องเปียกนองไปด้วยเลือด หมอตกใจ รีบหนีออกไปยืนสั่นอยู่นอกห้อง หมอคงไม่เคยเจอ เหตุการณ์ตื่นเต้นมากเช่นนี้มาก่อน ถึงได้รีบเผ่น สักครู่หมอจึงกลับเข้าห้องไปหาฉัน แล้วบอกว่า ผลการส่องสำไส้พบว่าที่เลือดออกไม่หยุด เพราะว่าแผลที่ถูกตัดเอานิ่วออกยังไม่ปิด ต้องรอสักระยะหนึ่ง มันจะหายเอง</span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"> เรื่องเกี่ยวกับ การเสวยอกุศลวิบากของฉันก็จบลงเพียงแค่นี้ ท่านที่ชอบรับประทานของหวานจัดมันจัด โปรดระวังนะคะ จะเจอ<b>"นิ่วในถุงน้ำดี"</b> เล่นงานอย่างฉัน ทางที่ดีอย่าเจอแกเลยนะ เลิกลาความหวานความมันได้ก็สบายตัวและไม่มีแผลเป็นที่หน้าท้องด้วยจ๊ะ </span></span>www.khunmeaw.blogspot.http://www.blogger.com/profile/04659669751008508487noreply@blogger.com