วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

กรรมกับจิ้งจก

 จิ้งจกเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ในสกุลHemidactylus พบมากในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้และแพร่พันธุ์ไปทั่วโลก สำหรับจิ้งจกที่พบบ่อยในประเทศไทย คือ จิ้งจกหางแบน เป็นสัตว์ 4 เท้า มีลำตัวขนาดเล็ก ลำตัวแบน หัวสั้นและมีหาง ไม่มีม่านตา โดยเฉลี่ยจะมีลำตัวยาว 3 นิ้ว ถ้าตัวเต็มวัยก็จะยาวถึง 5 นิ้ว มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม ลิ้นสั้นแต่ยืดออกได้ ผิวหนังค่อนข้างละเอียด ตัวมักมีสีขาวหรือคล้ำ สามารถปรับตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม เท้าเหนียวช่วยให้ไต่ไปตามข้างฝาหรือเพดานได้ มักอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน มีอายุประมาณ 5-10 ปี การงอกใหม่ของหางจิ้งจกใช้เวลา 2-6 สัปดาห์ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดของหางที่หายไป ขยายพันธุ์ด้วยออกลูกเป็นไข่ ตัวเมียจะออกไข่ครั้งละ 2 ฟอง มีความกว้าง 0.5-0.9 เซนติเมตร มีความยาวประมาณ 0.6-1.0 เซนติเมตร ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 50-65 วัน หลังออกจากท้องของตัวเมีย

จิ้งจกเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ใกล้ชิดกับคนเรามาก พบได้ตามบ้านเรือน มักจะออกหากินแมลงตามแหล่งไฟ ข้อดีของจิ้งจกก็คือ ช่วยกินแมลงเม่า ที่เป็นเหตุให้เกิดปลวกขึ้นบ้าน ข้อเสียก็คือ จิ้งจกมักร้องเสียงดังช่วงดึกๆ และถ่ายมูลติดเปื้อนข้าวของ ทำให้เกิดความสกปรกและเป็นที่น่ารังเกียจ หลายคนอาจเคยเจอกลิ่นเน่า หลังจากที่จิ้งจกเข้าไปตายอยู่ในเครื่องไฟฟ้าหรือซอกหลืบ

เราได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับจิ้งจกอย่างคร่าวๆ แล้วนะคะ ทีนี้ผู้เขียนก็จะเล่าเรื่องกรรมกับจิ้งจกให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน เพื่อที่ท่านจะได้ไม่เผลอไปทำบาปกับจิ้งจก เหมือนอย่างผู้เขียนได้เคยกระทำมาแล้วเมื่อครั้งยังเด็กๆ ไร้เดียงสา 

คนบ้านนอกสมัยเมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว มีความเชื่อว่าจิ้งจกเป็นยาแก้โรคพยาธิ พอมีลูกกำลังโตพอเดินได้ก็จะพยายามหาจิ้งจกมาปิ้งให้สุก แล้วให้เด็กกินทุกวัน เด็กไม่รู้อะไรผู้ใหญ่ให้กินก็กินเป็นประจำ ผู้เขียนมีน้องเพิ่งเริ่มหัดเดินเต๊าะแตะ แม่จะสั่งให้ผู้เขียนกับน้องคนรอง เราอายุไร่เรี่ยกัน คือ 8 ขวบ กับ 6 ขวบ ส่วนน้องคนเล็กขวบเศษ พอค่ำลงเราสองคนพี่น้องก็จะออกตีจิ้งจกตามผนังตึกอย่างสนุกสนาน ส่วนใหญ่ผู้เขียนจะตีได้แม่นยำมากกว่าน้องสาว ทำด้วยความภูมิใจด้วยล่ะ  แหล่งที่มีจิ้งจกมากสมัยนั้นก็คือ สำนักงานเทศกาลซึ่งอยู่ใกล้บ้าน  เราอยู่บ้านพักข้าราชการ เราออกตีจิ้งจกเป็นเรื่องสนุกไปเลย ผู้ใหญ่สั่งให้ทำเราก็ทำตามคำสั่ง ไม่ได้นึกถึงเวรกรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความที่กลัวผู้ใหญ่จะดุถ้าเราไม่ทำก็ไม่ได้ จำเป็นต้องทำบาปฆ่าจิ้งจกวันละหลายตัว จนบางวันจิ้งจกกลัวไม่กล้าแม้จะโผล่หัวออกมาจากที่อยู่ เพราะถ้าออกมาให้เราเห็นตัว ต้องไม่รอดแน่ แต่จิ้งจกก็ไม่โง่นะ เขาจะพากันออกมาตอนที่เราไม่อยู่ในที่นั้น บางครั้งเราก็ใช้วิธีแอบอยู่จนจิ้งจกเผลอก็ใช้ไม้ฟาดทันที บางวันพวกเขาก็ไม่ค่อยลงมาต่ำๆ ให้เราตีได้ 

ความเชื่อแบบผิดๆ ทำให้เกิดการกระทำที่ผิดๆ จึงส่งผลให้เป็นเวรเป็นกรรม มีความทุข์เป็นกำไร  พอเวลาล่วงไปประมาณ 5 ปี ผู้เขียนก็เริ่มมีอาการอักเสบตามข้อมือและนิ้วมือทีละข้อ จนในที่สุดมือบวมทั้งสองมือ เจ็บปวดทรมานมาก หมอบอกว่าเป็นโรครูมาตอยด์ ต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่นั้นมาสุขภาพก็เริ่มอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อยมาก พอพระอาทิตย์ตกดินเริ่มค่ำก็จะมีอาการเจ็บปวดที่มือ ผู้เขียนได้เทียวไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะที่นั่นมีคลีนิคเฉพาะโรค หมดค่ารักษาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น เพียงแค่โรคสงบเป็นพักๆ พอโรคสงบลักษณะของมือก็เปลี่ยนไป นิ้วทั้งสิบคดงอบิดเบียว นิ้วมือไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้เหมือนเดิม ฝ่ามือก็ไม่เรียบ ดูแล้วมันเหมือนเท้าจิ้งจกมากเลย มือสองข้างนี้เตือนใจผู้เขียนอยู่เสมอว่า นี่แหละผลของความกล้าหาญตอนเด็กๆ จึงได้มีมือที่น่าเกลียดตลอดชีวิต 

ส่วนน้องสาวคนรองที่ร่วมกันทำวีรกรรมล่าจิ้งจก ก็ได้รับผลกรรมหนักไม่แพ้กัน เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้แดด แพ้เหงื่อ แพ้ฝุ่นละอองและแพ้เกสรดอกไม้ พอค่ำมาก็จะมีอาการคันมากตามตัว ทำให้ไม่ค่อยได้นอน ต้องกินยาระงับอาการคัน ทุกวันนี้ก็ยังไม่หายเป็นปกติ หมดค่ารักษาไปมาก แต่ก็ไม่มีทีท่าจะหายขาด ก็ต้องทนทุกข์ทรมานมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่หายเป็นปกติ

น้องสาวคนเล็กที่ได้กินจิ้งจกปิ้งทุกวันอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้รับผลกรรมไม่น้อยไปกว่าเราสองคน พอเขาเริ่มย่างเข้าวัยรุ่น ก็จะเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง อยู่ดีๆ ก็มีอาการคันที่เหนือข้อเท้าข้างขวา เป็นผื่นแดงอักเสบพอแตกเป็นน้ำใสๆ ก็จะลามขยายพื้นที่กว้างขึ้น มีอาการปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกไฟลวก ใช้เวลารักษาอยู่นาน พอแห้งก็จะเป็นแผลเป็นสีดำเหมือนถูกไฟไหม้  เป็นแผลเป็นที่น่าเกียจมากๆ จนเขาไม่สามารถใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นได้ตลอดชีวิต 

ผลกรรมของแม่ผู้เขียนก็ไม่เบากว่าลูกๆ เพราะความเห็นผิดมีความคิดผิดๆ  แม่เป็นโรคเบาหวานตลอดชีวิต ตาข้างขวาค่อยๆเล็กลง จนในที่สุดก็แทบจะมองไม่เห็น แม่ไม่เคยไปตรวจเช็คตาเลย เพราะถือว่ายังมีตาอีกข้างที่ยังมองเห็น แต่ก็เห็นเพียงลางๆ เท่านั้น 

ท่านผู้อ่านค่ะ กรรมเป็นเรื่องซื่อสัตย์มาก เราทำกรรมใดไว้ เราก็จะต้องเป็นผู้เสวยผลแห่งกรรมนั้น 

นัตถิ กัมมัง สม พลัง แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรมไม่มี  

สัตว์ทั้งหลายจะดีหรือชั่วย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตน ด้วยเหตุนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท จึงจำแนกสัตว์ให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ มีกรรมเป็นกำเนิด คือกรรมที่ได้กระทำแล้ว จะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง จะไม่สูญหายไปไหนเลยค่ะ 

ขอบคุณพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ


                                                                ....................................

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2567

กรรมกับปลวก (ตอนที่3)

 ฉันได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง เผื่อว่าชีวิตอาจจะดีกว่าเดิม จึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับชาวสวิส  หลังจากเข้าพิธีแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว ฉันได้ยื่นใบลาออกจากโรงเรียนแล้วติดตามสามีไปอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงนั้นอากาศดีมากเพราะเป็นต้นฤดูร้อน ดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง ธรรมชาติที่นั่นสวยงามจริงๆ 

ในช่วงแรกๆ ยังไม่ชินกับอากาศที่นั่น นอกจากนั้นวัฒนธรรมแตกต่างกันมาก ชาวสวิสพูดภาษาเยอรมันสวิส ภาษาราชการคือ ภาษาเยอรมัน ชีวิตตอนนั้นเหมือนเกิดใหม่เลยล่ะ ทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่หมด เราใช้ภาษาอังกฤษสื่อความหมายกันในปีแรก สามีจะสอนฉันพูดภาษาเยอรมันวันละนิดละหน่อยและเขาก็จะเรียนภาษาไทยจากฉันวันละนิดละหน่อยด้วยเช่นกัน 

พออยู่ได้ประมาณ 1 เดือน  ฉันรู้สึกว่าเริ่มมีอาการปวดตามข้อมือทุกข้อและข้อเข่าทั้งสอง มีอาการไข้ร่วมด้วย สามีจึงได้พาไปหาหมอให้ตรวจเช็คว่าเป็นอะไร ตรวจเลือดพบว่าเป็นโรครูมาตอยด์และ โรค SLE Lupus  กรรมเปรียบเสมือนเงาตามตัว ไม่ว่าเราจะย้ายไปอยู่มุมไหนของโลก กรรมสามารถติดตามเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง   ในที่สุดฉันต้องเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้านเป็นเวลา 1 เดือน  

หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ทำกายภาพบำบัดอยู่ที่บ้าน มีนักกายภาพบำบัดมาสอนวิธีบริหารข้อต่างๆ ด้วยวิธีใช้ผ้าเช็ดตัวต้มในน้ำสมุนไพรอุ่นๆ แล้วนำมาพันตามข้อที่ปวด ต้องใช้ความร้อนเพราะไม่มีอาการบวม ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเขาใช้ผ้าอบสมุนไพรด้วยความเย็น วิธีนี้ทรมานสุดๆ แต่ได้ผลดีมากทีเดียว  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หายขาด ต้องเทียวตรวจสุขภาพเดือนละครั้ง จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคมาตรวจที่โรงพยาบาลที่ฉันเคยเข้ารับการรักษา ฉันได้มีโอกาสเป็นอาจารย์ใหญ่ให้แก่นักศึกษาแพทย์ที่มาฝึกงานที่นั่นด้วย เพราะสมัยเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้ว โรค SLE Lupus ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หมอบอกว่าในเมืองที่เราอาศัยอยู่มีคนเป็นโรคนี้เพียง 2 คนเท่านั้น จึงต้องเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาตรวจทุกเดือนและเป็นการศึกษาเกี่ยวกับโรคไปด้วย

เจ็บป่วยหนักขนาดนี้ฉันยังนึกกรรมของตัวเองไม่ออกเลย ว่าเคยทำกรรมอะไรมา ถึงได้เจ็บป่วยเป็นโรคที่หมอไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้  ฉันนึกได้แต่กรรมที่เคยฆ่าปลาและกบบ่อยมาก ต้องทำเพื่อให้แม่ทำอาหารให้คนทั้งบ้านกิน จึงเป็นผู้ได้รับผลกรรมแต่เพียงผู้เดียว เจ็บป่วยไม่หายเลย ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านแข็งแรงดีและไม่มีใครมีโรคประจำตัวเลย

ฉันได้อยู่กับสามีมาเป็นเวลา 37 ปี มีลูกสาวและลูกชายซึ่งต่างก็ออกไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว สามีเพิ่งเสียชีวิตไปได้เกือบจะ 5 ปี ฉันได้มีโอกาสกลับมาเที่ยวเมืองไทยทุกปีและปีนี้เป็นปีที่อยู่นานถึงครึ่งปี มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มนึกขึ้นได้ว่า ณ ที่บ้านแห่งนี้เริ่มแรกทีเดียวมีรังปลวกขนาดใหญ่สูงราวเมตรเศษๆ ฉันกับน้องสาวได้ช่วยกันทำลายรังปลวกมหึมานั้นจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ซากเลย ในที่สุดเราสองคนก็ได้รู้กรรมของตน ที่ทำให้เราทุกวันนี้ก็ยังใช้หนี้กรรมไม่หมดเลย ก็คือ เป็นกรรมกับปลวก นั่นเอง

เพราะเหตุที่เราสองคนได้เคยทำบาปมาด้วยกัน เลยต้องอยู่ด้วยกันทุกหนทุกแห่ง ฉันต้องเอาน้องไปอยู่ด้วย แล้วเขาก็จะต้องดูแลฉันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ พอฉันนึกถึงกรรมออกแล้ว จึงคิดว่าฉันจะเขียนบทความเกี่ยวกับกรรมที่เคยทำกับ"ปลวก" เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่าน การทำลายรังปลวกจะได้รับผลกรรมสาหัสตลอดชีวิตก็ว่าได้ เพราะเราทำด้วยเจตนาฆ่าพวกเขาและทำลายที่อยู่อาศัยของเขา 

บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงกรรมที่ได้กระทำไปแล้วด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม เจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ระลึกได้หรือระลึกไม่ได้ก็ดี รู้เท่าถึงการณ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาปลวกทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยเบียดเบียนและทำลายพวกท่าน ขอปลวกทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดและข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้วในอดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบันนี้ ให้แก่ปลวกทั้งหลาย ขอท่านได้โปรดอนุโมทนาในส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด.....ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ


วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2567

กรรมกับปลวก (ตอนที่ 2)

 หลังจากเราทำสวนเสร็จเรียบร้อย  ชีวิตของเราสองพี่น้องเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่คาดฝันมาก่อน ก่อนหน้านั้นเราสามารถขุดทำลายรังปลวกขนาดใหญ่โตมากได้สำเร็จ ไม่น่าเชื่อหลังจากนั้นเราก็กลายเป็นคนเจ็บป่วยแทบทุกวัน ร่างกายก็อ่อนแอจนไม่สามารถทำงานหนักได้ เมื่อก่อนเคยสาวน้ำจากบ่อเอาขึ้นมารดน้ำต้นไม้ได้ครั้งละเป็นสิบๆ ถังได้โดยไม่มีปัญหาเลย แต่เราก็ไม่เคยนึกถึงบาปกรรมที่เราได้กระทำกับพวกปลวก เมื่อไม่สบาบเจ็บป่วยก็ไปหาหมอ แล้วก็ได้ยามารับประทาน โรคใหม่มาโรคเก่ายังไม่ทันจะเบาลง ก็รักษากันไปเรื่อยๆ หมดเงินค่ารักษาไปมากก็ยังไม่ดีขึ้นเลย 

ถึงจะถูกโรครุมเร้าหนัก แต่ฉันก็ไม่ทิ้งการเรียนการศึกษาหาความรู้เพราะว่าต้องการที่จะมีงานทำ มีรายได้เป็นของตนเอง คุณพ่อและแม่เลี้ยงฉันก็เมตตาช่วยค่ารักษาพยาบาลมาตลอด  พอเรียนจบมีวิชาชีพติดตัว ฉันได้ลองสอบเข้าทำงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โชคดีที่สอบติดในอันดับ 1 จึงมีสิทธิเลือกแผนกที่ดีในระดับจังหวัด ช่วงระหว่างที่ทดลองงาน  ฉันเริ่มมีโรคใหม่อีก คือ โรคปวดสะโพกทั้งสองข้าง เวลาจะนั่งเก้าอี้ต้องกระแทกก้นลงไปนั่งเพราะข้อเข่าอักเสบยังรักษาไม่หาย ฉันรู้สึกเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตมากในช่วงนั้น เพราะว่าสุขภาพเริ่มแย่ลง ไหนจะเป็นโรคแพ้อาหารหลายชนิด รับประทานอาหารพวกหมักดองและผลไม้เปรี้ยวจัดก็จะเกิดผื่นคันขึ้นทั่วไปตามตัว บางครั้งเป็นหนักมากถึงขั้นบวมแดงมีอาการไข้ด้วย ก็ต้องรีบไปหาหมอโดยเร็ว เมื่อมีอาการแพ้อาหารแต่ละครั้งก็จะต้องไปฉีดยาแก้แพ้  ทำให้ต้องมีเรื่องเสียเงินรักษาโน่นนี่นั่นอยู่ไม่จบสิ้น 

สุขภาพไม่ดีเป็นเหตุให้ฉันเบื่อที่จะทำงานกับผู้ใหญ่ จึงได้แอบไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู ปรากฎว่าโชคดีสอบติด จึงได้มาเป็นครูสอนเด็กตามที่คิดไว้ คิดว่าทีนี้ชีวิตคงจะดีขึ้น เพราะเป็นงานที่ตัวเองฝันตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเป็นครูก็จะได้เป็นใหญ่ในห้องเรียน ไม่ต้องมีใครเป็นใหญ่คอยสั่งงานเราและยังมีเงินเดือนพอที่จะรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งเงินจากคุณพ่ออีกต่อไปด้วย  ฉันได้เลือกสอนเด็กชั้นประถม 1 และพอปีรุ่งขึ้นก็ตามเด็กขึ้นไปสอนชั้นประถมปีที่2 ก็เป็นครูสอนเด็กอยู่แค่สองชั้น อยู่กับเด็กเล็กๆ ก็น่ารักดี แต่ก็น่าเบื่อคือ ทำเหมือนเดิมทุกวัน สุขภาพเราก็เริ่มย่ำแย่ลงเพราะความเครียด เป็นไมเกรนทุกเช้าและปวดข้อทุกข้อด้วย ก่อนจะไปทำงานก็จะต้องไปฉีดมอร์ฟีนแก้ปวดแทบทุกวัน จึงจะสามารถไปทำงานได้ 

ในช่วงนั้นฉันเริ่มนึกถึงกรรมของตนเองบ้างแล้ว ได้แต่ถามตนเองว่า " เราเคยทำกรรมอะไรมาหนอ ถึงได้เจ็บป่วยมากมายขนาดนี้" แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบใดๆ เลย ฉันทนทำงานอยู่ในโรงเรียนแห่งนั้นถึง 7 ปี รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงคิดว่าจะต้องเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้ได้ ขืนทำงานเช่นนี้ต่อไปเราต้องตายแน่ๆ เพราะว่าฉันเริ่มมีอาการแพ้ยาแก้ปวดแอสไพริน รับประทานแก้ปวดทุกวัน จนกระทั่งมีอาการผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น คือ หูอื้อ ตาฝ้าฝางและความจำหลงลืมมากขึ้น บางครั้งจำชื่อนักเรียนไม่ได้เลย พอเริ่มมีอาการผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ฉันเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนชีวิตตนเองอีกครั้งหนึ่งให้ได้  

ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายติดต่อกับอดีตลูกสะใภ้ของอาฉัน เขาได้หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานกับชาวสวิส ฉันขอให้เขาช่วยแนะนำเพื่อนผู้ชายชาวสวิสให้สักคน เพื่อติดต่อเป็นเพื่อนคุยทางจดหมายและเป็นการฝึกภาษาเขียนอังกฤษด้วย เขาแนะนำให้สองคนๆ หนึ่งเป็นวิศวกรและอีกคนหนึ่งเป็นสถาปนิก ฉันได้เขียนจดหมายคุยติดต่อทั้งสองคนอยู่เป็นเวลา 1 ปีเศษ คนที่เป็นสถาปนิกเขาได้มากับอดีตลูกสะใภ้ของอา มาโดยไม่ได้บอกให้ฉันทราบล่วงหน้า เมื่อเราได้รู้จักและพูดคุยกันหลายครั้ง ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า "คนนี้แหละใช่" ฉันตกลงรับคำเชิญของเขาให้ไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กับน้องสาว เพื่อให้เราไปเห็นความเป็นอยู่ของเขา เพราะเขาได้ขอฉันแต่งงาน เมื่อฉันกับน้องสาวได้ไปเที่ยว นอกจากนั้นยังได้เห็นความประพฤติและนิสัยส่วนตัวของเขาอย่างใกล้ชิดแล้ว  จึงได้ตัดสินใจตกลงรับหมั้นเขา ในปีค.ศ. 1982 เขาได้มาหมั้นฉันที่บ้าน เราหมั้นไว้ 3 เดือน แล้วเขาก็มาเข้าพิธีสมรสตามประเพณีไทย มีพิธีตามศาสนาพุทธและมีงานฉลองกันในหมู่ญาติมิตร

(เรื่องราวนี้ยังมีต่ออีกค่ะ อย่าลืมติดตามตอนต่อไปอีกนะคะ)