วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2567

กรรมกับปลวก (ตอนที่3)

 ฉันได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง เผื่อว่าชีวิตอาจจะดีกว่าเดิม จึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับชาวสวิส  หลังจากเข้าพิธีแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว ฉันได้ยื่นใบลาออกจากโรงเรียนแล้วติดตามสามีไปอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงนั้นอากาศดีมากเพราะเป็นต้นฤดูร้อน ดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง ธรรมชาติที่นั่นสวยงามจริงๆ 

ในช่วงแรกๆ ยังไม่ชินกับอากาศที่นั่น นอกจากนั้นวัฒนธรรมแตกต่างกันมาก ชาวสวิสพูดภาษาเยอรมันสวิส ภาษาราชการคือ ภาษาเยอรมัน ชีวิตตอนนั้นเหมือนเกิดใหม่เลยล่ะ ทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่หมด เราใช้ภาษาอังกฤษสื่อความหมายกันในปีแรก สามีจะสอนฉันพูดภาษาเยอรมันวันละนิดละหน่อยและเขาก็จะเรียนภาษาไทยจากฉันวันละนิดละหน่อยด้วยเช่นกัน 

พออยู่ได้ประมาณ 1 เดือน  ฉันรู้สึกว่าเริ่มมีอาการปวดตามข้อมือทุกข้อและข้อเข่าทั้งสอง มีอาการไข้ร่วมด้วย สามีจึงได้พาไปหาหมอให้ตรวจเช็คว่าเป็นอะไร ตรวจเลือดพบว่าเป็นโรครูมาตอยด์และ โรค SLE Lupus  กรรมเปรียบเสมือนเงาตามตัว ไม่ว่าเราจะย้ายไปอยู่มุมไหนของโลก กรรมสามารถติดตามเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง   ในที่สุดฉันต้องเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้านเป็นเวลา 1 เดือน  

หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ทำกายภาพบำบัดอยู่ที่บ้าน มีนักกายภาพบำบัดมาสอนวิธีบริหารข้อต่างๆ ด้วยวิธีใช้ผ้าเช็ดตัวต้มในน้ำสมุนไพรอุ่นๆ แล้วนำมาพันตามข้อที่ปวด ต้องใช้ความร้อนเพราะไม่มีอาการบวม ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเขาใช้ผ้าอบสมุนไพรด้วยความเย็น วิธีนี้ทรมานสุดๆ แต่ได้ผลดีมากทีเดียว  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หายขาด ต้องเทียวตรวจสุขภาพเดือนละครั้ง จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคมาตรวจที่โรงพยาบาลที่ฉันเคยเข้ารับการรักษา ฉันได้มีโอกาสเป็นอาจารย์ใหญ่ให้แก่นักศึกษาแพทย์ที่มาฝึกงานที่นั่นด้วย เพราะสมัยเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้ว โรค SLE Lupus ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หมอบอกว่าในเมืองที่เราอาศัยอยู่มีคนเป็นโรคนี้เพียง 2 คนเท่านั้น จึงต้องเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาตรวจทุกเดือนและเป็นการศึกษาเกี่ยวกับโรคไปด้วย

เจ็บป่วยหนักขนาดนี้ฉันยังนึกกรรมของตัวเองไม่ออกเลย ว่าเคยทำกรรมอะไรมา ถึงได้เจ็บป่วยเป็นโรคที่หมอไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้  ฉันนึกได้แต่กรรมที่เคยฆ่าปลาและกบบ่อยมาก ต้องทำเพื่อให้แม่ทำอาหารให้คนทั้งบ้านกิน จึงเป็นผู้ได้รับผลกรรมแต่เพียงผู้เดียว เจ็บป่วยไม่หายเลย ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านแข็งแรงดีและไม่มีใครมีโรคประจำตัวเลย

ฉันได้อยู่กับสามีมาเป็นเวลา 37 ปี มีลูกสาวและลูกชายซึ่งต่างก็ออกไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว สามีเพิ่งเสียชีวิตไปได้เกือบจะ 5 ปี ฉันได้มีโอกาสกลับมาเที่ยวเมืองไทยทุกปีและปีนี้เป็นปีที่อยู่นานถึงครึ่งปี มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มนึกขึ้นได้ว่า ณ ที่บ้านแห่งนี้เริ่มแรกทีเดียวมีรังปลวกขนาดใหญ่สูงราวเมตรเศษๆ ฉันกับน้องสาวได้ช่วยกันทำลายรังปลวกมหึมานั้นจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ซากเลย ในที่สุดเราสองคนก็ได้รู้กรรมของตน ที่ทำให้เราทุกวันนี้ก็ยังใช้หนี้กรรมไม่หมดเลย ก็คือ เป็นกรรมกับปลวก นั่นเอง

เพราะเหตุที่เราสองคนได้เคยทำบาปมาด้วยกัน เลยต้องอยู่ด้วยกันทุกหนทุกแห่ง ฉันต้องเอาน้องไปอยู่ด้วย แล้วเขาก็จะต้องดูแลฉันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ พอฉันนึกถึงกรรมออกแล้ว จึงคิดว่าฉันจะเขียนบทความเกี่ยวกับกรรมที่เคยทำกับ"ปลวก" เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่าน การทำลายรังปลวกจะได้รับผลกรรมสาหัสตลอดชีวิตก็ว่าได้ เพราะเราทำด้วยเจตนาฆ่าพวกเขาและทำลายที่อยู่อาศัยของเขา 

บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงกรรมที่ได้กระทำไปแล้วด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม เจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ระลึกได้หรือระลึกไม่ได้ก็ดี รู้เท่าถึงการณ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาปลวกทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยเบียดเบียนและทำลายพวกท่าน ขอปลวกทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดและข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้วในอดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบันนี้ ให้แก่ปลวกทั้งหลาย ขอท่านได้โปรดอนุโมทนาในส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด.....ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ


วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2567

กรรมกับปลวก (ตอนที่ 2)

 หลังจากเราทำสวนเสร็จเรียบร้อย  ชีวิตของเราสองพี่น้องเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่คาดฝันมาก่อน ก่อนหน้านั้นเราสามารถขุดทำลายรังปลวกขนาดใหญ่โตมากได้สำเร็จ ไม่น่าเชื่อหลังจากนั้นเราก็กลายเป็นคนเจ็บป่วยแทบทุกวัน ร่างกายก็อ่อนแอจนไม่สามารถทำงานหนักได้ เมื่อก่อนเคยสาวน้ำจากบ่อเอาขึ้นมารดน้ำต้นไม้ได้ครั้งละเป็นสิบๆ ถังได้โดยไม่มีปัญหาเลย แต่เราก็ไม่เคยนึกถึงบาปกรรมที่เราได้กระทำกับพวกปลวก เมื่อไม่สบาบเจ็บป่วยก็ไปหาหมอ แล้วก็ได้ยามารับประทาน โรคใหม่มาโรคเก่ายังไม่ทันจะเบาลง ก็รักษากันไปเรื่อยๆ หมดเงินค่ารักษาไปมากก็ยังไม่ดีขึ้นเลย 

ถึงจะถูกโรครุมเร้าหนัก แต่ฉันก็ไม่ทิ้งการเรียนการศึกษาหาความรู้เพราะว่าต้องการที่จะมีงานทำ มีรายได้เป็นของตนเอง คุณพ่อและแม่เลี้ยงฉันก็เมตตาช่วยค่ารักษาพยาบาลมาตลอด  พอเรียนจบมีวิชาชีพติดตัว ฉันได้ลองสอบเข้าทำงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โชคดีที่สอบติดในอันดับ 1 จึงมีสิทธิเลือกแผนกที่ดีในระดับจังหวัด ช่วงระหว่างที่ทดลองงาน  ฉันเริ่มมีโรคใหม่อีก คือ โรคปวดสะโพกทั้งสองข้าง เวลาจะนั่งเก้าอี้ต้องกระแทกก้นลงไปนั่งเพราะข้อเข่าอักเสบยังรักษาไม่หาย ฉันรู้สึกเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตมากในช่วงนั้น เพราะว่าสุขภาพเริ่มแย่ลง ไหนจะเป็นโรคแพ้อาหารหลายชนิด รับประทานอาหารพวกหมักดองและผลไม้เปรี้ยวจัดก็จะเกิดผื่นคันขึ้นทั่วไปตามตัว บางครั้งเป็นหนักมากถึงขั้นบวมแดงมีอาการไข้ด้วย ก็ต้องรีบไปหาหมอโดยเร็ว เมื่อมีอาการแพ้อาหารแต่ละครั้งก็จะต้องไปฉีดยาแก้แพ้  ทำให้ต้องมีเรื่องเสียเงินรักษาโน่นนี่นั่นอยู่ไม่จบสิ้น 

สุขภาพไม่ดีเป็นเหตุให้ฉันเบื่อที่จะทำงานกับผู้ใหญ่ จึงได้แอบไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู ปรากฎว่าโชคดีสอบติด จึงได้มาเป็นครูสอนเด็กตามที่คิดไว้ คิดว่าทีนี้ชีวิตคงจะดีขึ้น เพราะเป็นงานที่ตัวเองฝันตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเป็นครูก็จะได้เป็นใหญ่ในห้องเรียน ไม่ต้องมีใครเป็นใหญ่คอยสั่งงานเราและยังมีเงินเดือนพอที่จะรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งเงินจากคุณพ่ออีกต่อไปด้วย  ฉันได้เลือกสอนเด็กชั้นประถม 1 และพอปีรุ่งขึ้นก็ตามเด็กขึ้นไปสอนชั้นประถมปีที่2 ก็เป็นครูสอนเด็กอยู่แค่สองชั้น อยู่กับเด็กเล็กๆ ก็น่ารักดี แต่ก็น่าเบื่อคือ ทำเหมือนเดิมทุกวัน สุขภาพเราก็เริ่มย่ำแย่ลงเพราะความเครียด เป็นไมเกรนทุกเช้าและปวดข้อทุกข้อด้วย ก่อนจะไปทำงานก็จะต้องไปฉีดมอร์ฟีนแก้ปวดแทบทุกวัน จึงจะสามารถไปทำงานได้ 

ในช่วงนั้นฉันเริ่มนึกถึงกรรมของตนเองบ้างแล้ว ได้แต่ถามตนเองว่า " เราเคยทำกรรมอะไรมาหนอ ถึงได้เจ็บป่วยมากมายขนาดนี้" แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบใดๆ เลย ฉันทนทำงานอยู่ในโรงเรียนแห่งนั้นถึง 7 ปี รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงคิดว่าจะต้องเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้ได้ ขืนทำงานเช่นนี้ต่อไปเราต้องตายแน่ๆ เพราะว่าฉันเริ่มมีอาการแพ้ยาแก้ปวดแอสไพริน รับประทานแก้ปวดทุกวัน จนกระทั่งมีอาการผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น คือ หูอื้อ ตาฝ้าฝางและความจำหลงลืมมากขึ้น บางครั้งจำชื่อนักเรียนไม่ได้เลย พอเริ่มมีอาการผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ฉันเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนชีวิตตนเองอีกครั้งหนึ่งให้ได้  

ฉันจึงตัดสินใจเขียนจดหมายติดต่อกับอดีตลูกสะใภ้ของอาฉัน เขาได้หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานกับชาวสวิส ฉันขอให้เขาช่วยแนะนำเพื่อนผู้ชายชาวสวิสให้สักคน เพื่อติดต่อเป็นเพื่อนคุยทางจดหมายและเป็นการฝึกภาษาเขียนอังกฤษด้วย เขาแนะนำให้สองคนๆ หนึ่งเป็นวิศวกรและอีกคนหนึ่งเป็นสถาปนิก ฉันได้เขียนจดหมายคุยติดต่อทั้งสองคนอยู่เป็นเวลา 1 ปีเศษ คนที่เป็นสถาปนิกเขาได้มากับอดีตลูกสะใภ้ของอา มาโดยไม่ได้บอกให้ฉันทราบล่วงหน้า เมื่อเราได้รู้จักและพูดคุยกันหลายครั้ง ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า "คนนี้แหละใช่" ฉันตกลงรับคำเชิญของเขาให้ไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กับน้องสาว เพื่อให้เราไปเห็นความเป็นอยู่ของเขา เพราะเขาได้ขอฉันแต่งงาน เมื่อฉันกับน้องสาวได้ไปเที่ยว นอกจากนั้นยังได้เห็นความประพฤติและนิสัยส่วนตัวของเขาอย่างใกล้ชิดแล้ว  จึงได้ตัดสินใจตกลงรับหมั้นเขา ในปีค.ศ. 1982 เขาได้มาหมั้นฉันที่บ้าน เราหมั้นไว้ 3 เดือน แล้วเขาก็มาเข้าพิธีสมรสตามประเพณีไทย มีพิธีตามศาสนาพุทธและมีงานฉลองกันในหมู่ญาติมิตร

(เรื่องราวนี้ยังมีต่ออีกค่ะ อย่าลืมติดตามตอนต่อไปอีกนะคะ)