วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

เป็นยังไงบ้างคะ หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  ช่วงนี้อากาศแปรปรวนบ่อยมาก จิตใจคนก็พลอยปั่นป่วนไปด้วย แถบยุโรปช่วงนี้บางประเทศเจอฝนและพายุหนัก บางประเทศหิมะลงผิดฤดูกาล ทำให้พืช ผักผลไม้ดอกไม้ที่กำลังจะออกดอกออกผลเสียหายมากมาย นี่แหละธรรมชาติหรือธรรมะ ไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้เลย ความไม่เที่ยงเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง....

วันนี้ฉันก็มีเรื่องน่าสนใจจะเล่าสู้กันอ่าน เพื่อเป็นอุทาหรณ์หรือเครื่องเตือนใจ  เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมาสด ๆ ร้อนได้ ๗ วันนี่เอง....เมื่อสามวันที่ผ่านมานี้ได้มีผู้หญิงไทยคนหนึ่ง โทรมาอวยพรเนื่องในวันแม่ให้กับฉัน (ช้าไป ๑ วัน) เธอนับถือฉันเหมือนแม่ เพราะเวลาเธอมีปัญหาอะไรก็ตาม มักจะกริ๊งมาระบายให้ฉันฟัง แล้วร้องไห้ให้ฟังเป็นประจำ ฉันก็จะต้องหาวิธีพูดปลอบใจเธอ จนกระทั้งทำให้เธอหัวเราะได้  บางครั้งระบายนานเป็นชั่วโมงก็ไม่ยอมจบ เพราะยังไม่ได้หัวเราะ หนักหน่อยร้องไห้มาก ๆ ก็จะเกิดอาการหายใจไม่ออก จะตายซะง่าย ๆ งั้นแหละ แต่ก็รอดทุกที  ฉันขอสมมติชื่อผู้หญิงคนนี้ว่า "สวย" ฉันรู้จักกับสวยมาร่วม ๒๐ ปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ฉันได้ยินแต่เรื่องความทุกข์ของเธอมาตลอด จึงคิดว่าน่าจะนำเรื่องกรรมของเธอ มาเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้อ่านกันบ้าง จึงได้ขออนุญาตจากเธอ ๆ ก็เต็มใจที่จะให้ฉันเขียน เพื่อเป็นวิทยาทาน.....บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองมีทุกข์มากกว่าใคร ๆ  ถ้าได้อ่านเรื่องกรรมของผู้หญิงชื่อสวยแล้ว ท่านอาจจะบอกกับตัวเองว่า "ทุกข์ของเรามันน้อยนิดมาก" ก็เป็นได้นะ....

ขอย้อนกลับเข้าสู่เรื่องซะที พอสวยอวยพรให้ฉันเสร็จ เธอก็ถามฉันว่าสบายดีมั้ย เธอจะถามเช่นนี้เสมอ ถ้าฉันตอบว่าไม่ค่อยสบาย เธอก็จะไม่คุยนาน คราวนี้ฉันบอกว่าสบายดี เธอก็ถือโอกาสเริ่มเรื่องของเธอทันที เธอเล่าว่า "ช่วงนี้ซวยอีกแล้ว ซวยแบบสุด ๆ เลย เจอระเบิดลูกใหญ่เลยล่ะ เรื่องเก่ายังไม่คลี่คลาย เรื่องใหม่ซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก อยากจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะที" รู้สึกว่าเธอจะใช้สำนวนนี้เสมอ ๆ เวลาเธอมีปัญหาหนัก ๆ  ฉันก็ใช้สำนวนของฉันเช่นกัน ก็จะบอกกับเธอว่า "อย่าเพิ่งรีบตายเลย ลองอยู่ดูชีวิตต่อไป ดูกรรมต่อไป ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราอีก บางทีผลของกรรมดีอาจจะส่งผลสักวันก็ได้ ไม่มีใครรู้ ถ้าขืนตายตอนนี้ โดยที่ยังไม่ได้สะสมกุศล ตายไปพร้อมกับโทสะก็จะต้องไปสู่อบายภูมิได้" พอได้ฟังเช่นนั้น เธอก็ไม่เถียงสักคำ

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมานี้ เธอได้ไปทำงานตามปรกติ งานของเธอก็คือทำหน้าเสริพอาหารอยู่ที่ร้านอาหารไทยให้เมืองหนึ่ง เธอต้องนั่งรถไฟไปทุกวัน นั่งรถไฟแค่ ๒๐ นาที ทำงานทั้งวัน เลิกเที่ยงคืน วันที่เกิดเหตุนั้น  ในตู้ที่เธอนั่งไม่มีผู้โดยสารอื่นเลย  ตอนที่เธอขึ้นไปนั่งตอนแรก ก็เห็นมีเด็กวัยรุ่นผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง เดินผ่านเธอไป เธอคิดว่าเขาคงจะเดินไปลงรถ  เมื่อรถไฟแล่นไปได้สักระยะ เธอรู้สึกเหนื่อยและเพลียมากจากการทำงานทั้งวัน จึงได้เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว  มารู้สึกตัวอีกที รถไฟจอดที่สถานีปลายทางและคนขับรถไฟดับเคลื่องรถเรียบร้อยแล้ว  เธอตกใจมาก เมื่อตื่นมาไม่พบกระเป๋าถือใบสำคัญของเธอ ในกระเป๋ามีเอกสารสำคัญ มีเงินหลายร้อยสวิสฟรังค์ โทรศัพท์มือถือ บัตรธนาคาร สิ่งมีค่าอีกหลายอย่างที่เธอพกติดตัวเป็นประจำ เธอเล่าว่า  เมื่อได้สติเธอรีบวิ่งไปหาคนขับรถไฟ ขอร้องให้เขาช่วยโทรแจ้งตำรวจให้ด้วย  ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งแล้ว ที่สถานีรถไฟไม่มีใครเลย นอกจากเธอกับคนขับรถไฟเท่านั้น  คนขับรถไฟก็ได้รีบโทรแจ้งตำรวจทันที ตำรวจก็รีบมาทำการสอบสวนเรื่องราว  เสร็จแล้วจึงพาเธอไปส่งที่พัก  กุญแจของอพ้าทเม้นก็ติดไปในกระเป๋าถือ ตำรวจจึงต้องเรียกช่างกุญแจฉุกเฉินมาเปิดให้  เธอบอกว่าเธอแฟนบอกเลิก ก็เจ็บปวดสาหัสพอแล้ว ยังต้องมาสูญเสียเงินทองและของมีค่าอีกหมดตัวเลย มีเงินติดอยู่บ้านแค่ร้อยฟรังค์เท่านั้น เงินเดือนก็ขอเบิกล่วงหน้ามาครึ่งหนึ่งเพื่อชำระภาษี ตั๋วรถไฟประจำปีก็เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่วัน ก็ติดอยู่ในกระเป๋า ตั๋วรถไฟแพงมาก ทุกอย่างต้องซื้อใหม่หมด เธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว อยู่คนเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใคร เช้ามาก็ไปทำงาน กลับบ้านตอนดึก พอถึงบ้านก็นอนเพื่อที่จะตื่นมารับผลของกรรมในวันรุ่งขึ้นต่อไป  จนเธอไม่อยากจะตื่นอีกแล้ว เพราะไม่อยากที่จะพบกับความทุกข์ความเศร้าใจอีก

ตลอดชีวิตมีแต่ปัญหามากมาย หลังจากเหตุการณ์ถูกคนขโมยกระเป๋าถือผ่านไปได้หนึ่งวัน เธอได้รับจดหมายทวงหนี้ จากบริษัทเครดิตเงินกู้ ซึ่งเธอกับสามีเก่า เคยกู้เงินร่วมกันมาและร่วมกันทำล้มละลาย ด้วย เป็นเวลา ๒๐ ปีมาแล้ว  ตอนนี้ครบกำหนดสัญญาที่เธอจะต้องชำระหนีคืน เรื่องนี้ก็ทำให้เธอเจ็บแสบมาแล้ว เธอโดนสามีโกงเอาเงินที่กู้ด้วยกันไปใช้คนเดียว หนีไปอยู่กับผู้หญิงอื่น เป็นเหตุทำให้เธอต้องฟ้องหย่า แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น กลับมีผลต่อเนื่องมาถึงวันนี้ คือเธอจะต้องรับผิดชอบใช้หนีทั้งหมดเป็นจำนวนร่วม ๓๕ พันสวิสฟรังค์คนเดียว เพราะว่าตอนเซ็นสัญญากู้ เธออ่านภาษาเยอรมันไม่ออกรู้เรื่อง ตอนนั้นเพิ่งมาอยู่ได้สามเดือนกว่า ๆ  เพิ่งแต่งงานใหม่ ก็ไว้ใจสามีมาก คิดว่ารักจริง จึงเซ็นส่งเดชไปและคิดว่าจะได้เงินมาสักก้อน เพื่อมาลงทุนทำอะไรสักอย่าง แต่ผิดคาดเลยนะ เธอไม่ได้เห็นเงินเลยสักเหรียญเดียว ในที่สุดตอนนี้เธอต้องมาวิ่งเต้น หาทนายความใจดีที่ไม่คิดค่าทำงานช่วย แต่ก็หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เพราะค่าทนายความที่สวิตเซอร์แลนด์แพงยิ่งกว่าอาชีพอื่น ๆ หลายเท่า  สวยพอดำรงชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งมาตลอด ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนเพราะไม่มีเงิน แต่เธอก็มีพระธรรมเป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดตลอดมา

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เห็นมั้ยค่ะ ว่ากรรมนี่วิจิตรมากขนาดไหน เมื่อมันสุกงอมเต็มที่แล้ว มันก็จะส่งผลทันที โดยไม่เลือกกาลเวลา มันส่งผลติดต่อกันหลายเรื่องได้ เป็นเรื่องราวหลายตอนได้ บางเรื่องก็ยาวนานกว่าจะจบ บางเรื่องก็สั้น บางเรื่องก็เกิดพร้อมกันหรือซ้อนกันได้ ก็ขึ้นอยู่ที่กำลังของเจตนากรรม เพราะฉะนั้นเราควรสะสมแต่กุศลกรรมให้มาก ๆ  ด้วยการฟังธรรมะเพื่อละความเห็นผิด เพื่อสะสมความเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งเกิดดับหรือชีวิต (ขันธ์ ๕) จะได้มีความสุขในโลกนี้และโลกหน้าด้วย....เราจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน "สติ" เป็นธรรมที่คุ้มครองกายและใจได้ทุกสถานการณ์ เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติให้ยิ่ง ๆ ขึ้น 

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผลของความริษยาเพื่อน

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ  ไม่ได้พบกันที่บล็อกนี้นานทีเดียว  พบกันคราวนี้  ฉันมีเรื่องจากประสบการณ์ตรงมาเผยแพร่  คิดว่าคงจะมีประโยชน์ ต่อชีวิตประจำวันสำหรับทุกท่านไม่น้อยทีเดียว เพราะเหตุว่าในชีวิตประจำวัน แต่ละวันของปุถุชนทั่วไป ก็ย่อมจะต้องมีสภาพธรรมประเภทหนึ่ง ชื่อว่า "ริษยา" เกิดกับจิตได้ขณะใดขณะหนึ่ง....ริษยาเป็นนามธรรมเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกับจิต และดับพร้อมกับจิต  ริษยาเจตสิกเป็นสภาพธรรมฝ่ายอกุศล  มีอารมณ์ที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นเหตุปัจจัย และเป็นแดนเกิด  เมื่อริษยามีกำลังมากขึ้น ก็สามารถที่จะทำให้บุคคลนั้น ประกอบอกุศลกรรมได้  ดังมีตัวอย่างต่อไปนี้

เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงลาวคนหนึ่ง  เล่าให้ฟังว่า เธอได้เบอร์โทรของสมาคมไทย-กวนอิม-สวิตเซอร์แลนด์ มาจากเพื่อนคนไทย  เหตุผลที่โทรมาหาฉัน ก็เพราะว่าเธอมีปัญหาซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ด้วยตนเองได้.....ผู้หญิงคนนี้ชื่อ "ดวง" (นามสมมติ) ฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน  แต่พอได้ยินเธอบอกว่ามีปัญหาซึ่งไม่สามารถแก้เองได้  จึงได้โทรมาหาฉัน เผื่อบางทีฉันอาจจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง  เพราะเพื่อนคนไทยเล่าให้ฟังว่า ฉันสามารถสื่อติดต่อกับวิยญาณ กับเทพและเทวดาได้ ด้วยพลังจิต  เธอเลยคิดว่าอาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย จึงได้ตัดสินใจโทรมา

ฉันได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงชื่อดวง ได้ระบายเรื่องราวปัญหาของเธอตามอัธยาสัย  เธอเริ่มเล่าประวัติของตนเองว่า เริ่มแรกก่อนที่จะมาแต่งงานกับคนสวิส  เธอได้แต่งงานกับคนไทยและอยู่ที่เมืองไทย เธอเป็นพวกคนลาวอพยพ  เคยอาศัยอยู่ที่เมืองไทย ๕ ปี จึงพูดภาษาไทยได้คล่องเหมือนคนไทย อยู่ร่วมชีวิตกับสามีไทยได้ ๒ ปี ก็ต้องเลิกแยกทางกันเดิน  เพราะเหตุว่ามีทัศนะต่างกันมาก  ต่อมาได้มีเพื่อนคนไทย ที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ได้ชักชวนให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ บังเอิญได้รู้จักกับพ่อหม่ายคนหนึ่งเป็นชาวสวิส เลยตัดสินใจแต่งงานด้วย  อยู่ด้วยกันไม่ถึงปี ก็มีลูกสาวผู้มีบุญหนักมาเกิดด้วย เธอบอกว่าก่อนที่จะตั้งครรภ์ ได้ไปขอลูกสาวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์  และก็ได้ลูกสมดังปรารถนา จึงคิดว่าลูกต้องเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในอนาคต ลูกสาวเป็นเด็กที่เลี้ยงยากมาก ๆ ตั้งแต่เกิดมา ต้องฝากพยาบาลดูแลเลี้ยงให้ อยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเดินได้ จึงรับกลับบ้านมาเลี้ยงเอง.....

ดวงเล่าเรื่องชีวิตของเธอ เล่าไปเรื่อย ๆ ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ออกเสียงรับ อือบ้าง ออบ้าง จ๊ะบ้าง ก็แล้วแต่จังหวะ ฟังจนเมื่อยก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที  เล่ามาตั้งเยอะแยะก็ยังไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร  ฉันเลยตัดบทเอาดื้อ ๆ เลยว่า "คุณดวง...คุณมีปัญหาจะให้ช่วยอะไรก็บอกตรง ๆ ได้เลยนะ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย" พอได้ยินเช่นนั้น เธอรีบตอบรวบรัดเลยว่า "ปัญหาของลูกสาว ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ"  ฉันจึงบอกเธอว่า "งั้นก็เอาอย่างนี้ดีกว่าน่ะ พาลูกสาวมาหาฉันที่สมาคมได้มั้ย" เธอตอบตกลงทันที  ถ้าฉันปล่อยให้เธอเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งวันก็คงไม่จบแน่  เพราะรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนมีอุปนิสัยชอบเจรจาจ๊ะจ๋า เป็นอันว่าเธอตกลงจะพาลูกมาหาฉันในวันรุ่งขึ้น....ฉันก็รู้สึกตื่นเต้น ยังไม่รู้จะเจออะไร !!

ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น  ดวงได้นำลูกสาวมาหาฉันตามนัด  ลูกสาวเธออายุ ๑๕ ปี กำลังเรียนอยู่โรงชั้นมัธยมปีที่ ๒  ที่โรงเรียนนานาชาติ เป็นโรงเรียนประจำที่มีชื่อแห่งหนึ่ง  ลูกของดวงมีชื่อว่า "ดวงตา" เป็นเด็กหน้าตาสวยมีเสน่ห์ ผมดำ ผิวสีชมพู รูปร่างสูงได้สัดส่วน ตัวโตเกินวัย พูดไทยเก่งเพราะชอบคลุกคลีกับครอบครัวคนไทย แม่ชอบพาไปเล่นกับลูกคนไทย....ฉันได้ถามหนูดวงตาว่า "ทำไมหนูไปเรียนที่โรงเรียนประจำ โรงเรียนใกล้ ๆ บ้านไม่มีหรือ" เธอตอบว่า "ตาไม่อยากอยู่กับแม่เพราะแม่ชอบบังคับโน่นบังคับนี่"  เด็ก ๆ ก็มักจะไม่ชอบพ่อแม่ที่บังคับให้ทำตามใจพ่อแม่  เพราะเขาไม่เข้าใจความรักและความห่วงใยของพ่อแม่ จึงคิดว่าความหวังดี ความจริงใจของพ่อแม่ เป็นการบังคับเป็นการฝืนจิตใจเขา.....

ในที่สุดก็ไม่สามารถจะอยู่กับพ่อแม่ได้ จึงต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประจำ นาน ๆ ครั้งค่อยเจอกันจะได้ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทให้ทุกข์ใจ  ถึงกระนั้นหนูดวงตากับพ่อแม่ ก็ยังมีเรื่องขัดเคืองใจกันทุกครั้งที่พ่อแม่ไปรับมานอนที่บ้านในวันสุดสัปดาห์  หนูดวงตาเล่าต่ออีกว่า เธอมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อเจนนี่ เธอสวยมากและเรียนเก่งด้วย มารยาทก็ดี มาจากครอบครัวฐานะดี  เจนนี่เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ทุกคน และเป็นที่รักของเพื่อน ๆ ด้วย เป็นเหตุให้หนูดวงตา ไม่ค่อยชอบเจนนี่อย่างจริงใจ แต่ก็ไม่อยากคบคนที่ฐานะแย่กว่าตนเอง เลยคบกับเจนนี่มาตั้งแต่เห็นกันวันแรก ตอนนี้อยู่ปีที่ ๒ ก็ยังคบกันอยู่  พอเล่าถึงประโยคท้ายนี้ รู้สึกว่าน้ำเสียงเครือ ๆ เสียงของเธอเบาลง จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ และมีน้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้างด้วย เธอเอ่ยต่อไปว่า "คุณป้าค่ะ...ตาปวดหัวไหล่ข้างขวามา ๓ เดือนแล้ว บางครั้งที่ข้อมือข้างขวาบวมและปวดมาก ไปให้หมอทำ x-ray ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ทานยาแก้ปวดก็ไม่หายค่ะ หนูไม่สามารถเรียนหนังได้ ต้องหยุดพักการเรียนบ่อยมาก ช่วยหนูด้วยนะคะ" ฉันได้ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสาร อยากจะช่วยเธอให้หายทุกข์ทรมานซะที แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม เป็นผลของการกระทำของเธอเอง  เธอจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว เรื่องกรรมและผลของกรรม (วิบาก) นี้เป็นเรื่องที่ยุติธรรมมาก ทำอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้นแน่นอน

ขณะที่กำลังฟังเรื่องราวที่เด็กเล่าอยู่นั้น  จิตของฉันก็ได้สัมผัสกับวิญญาณตนหนึ่ง ซึ่งสิงอยู่ที่ในตัวของเด็กหญิงผู้มีความริษยาเพื่อนผู้นี้  แต่ก็ยังไม่ทราบหรอกนะ ว่าเป็นใคร จึงสั่งให้เธอนอนหงายลงกับพื้นห้อง ต่อหน้าองค์พระแม่กวนอิม ให้หลับตาอยู่ในความสงบ เพราะว่าฉันจะต้องใช้พลังจิตสื่อกับญาณพระแม่กวนอิม ถามเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวเด็ก ว่าเขาต้องการอะไร  ก็ได้ความว่าวิญญาณนี้เป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกับหนูดวงตา เขาเพิ่งเสียชีวิตด้วยการผูกคอตาย  ฉันจึงได้ถามดวงตาว่า "ที่โรงเรียนมีคนผูกคอตายมั้ย" เธอตอบทันทีว่า "มีค่ะ เพื่อนหนูที่ชื่อเจนนี่ เขาโกรธหนูมากที่หนูชอบแกล้งเขา จนทำให้ครูและเพื่อน ๆ เข้าใจเจนนี่ผิด เจนนี่เป็นคนไม่ชอบทะเลาะกับใคร ถ้าใครทำให้ผิดใจ เขาก็จะคิดแต่จะทำร้ายตัวเอง"

วิญญาณนี้เคยเป็นเพื่อนของเด็กดวงตา  เขาอาฆาตมาก  เพราะตายพร้อมกับโทสมูลจิต เมื่อตายแล้วก็ยังติดตามเพื่อนอยู่ ทำให้เพื่อนเจ็บป่วย กินไม่ได้นอนไม่หลับ และยังทำให้ปวดตามหัวไหล่และข้อมือมาตลอด  นับตั้งแต่เจนนี่เสียชีวิต หนูดวงตาก็เจ็บป่วยมาตลอด..... ฉันจึงได้สื่อถามวิญญาเจนนี่ว่า"ต้องการอะไรจากเพื่อนชื่อดวงตา"  เธอตอบว่า "ต้องการให้ดวงตาสารภาพความจริงให้หมด ว่าได้ทำอะไรไว้กับเธอบ้าง จนเธอถึงกับผูกคอตาย"......หนูดวงตาได้สารภาพว่า.... มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอได้ชวนเจนนี่หนีออกไปเที่ยวนอกโรงเรียนในตอนเย็น แล้วกลับเข้าที่พักในตอนดึก  พอถูกอาจารย์จับได้  ดวงตาบอกกับอาจารย์ว่า เจนนี่เป็นคนชวนเธอไปเที่ยว ในที่สุดเจนนี่ก็ได้รับการลงโทษอย่างหนัก ขั้นถูกขังเดี่ยวอยู่ในห้องใต้ดิน ๒๔ ชั่วโมง  ต่อมาภายหลังเมื่อครบกำหนดพ้นโทษ ปรากฏว่าเธอได้ผูกคอตายมาหลายชั่วโมงแล้ว ในห้องนั้นเอง.....หลังจากที่หนูดวงตาได้สารภาพผิดจนหมดแล้ว  เธอบอกว่าอาการที่บวม และปวดที่หัวไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที อย่างไม่น่าเชื่อ เธอบอกว่าเธอเชื่ออย่างไม่สงสัยอีกแล้ว ว่าวิญญาณมีจริง และต่อไปนี้ จะประพฤติตนเป็นคนดี  จะไม่เกเร ไม่แกล้งเพื่อน และจะไม่อิจฉาริษยาเพื่อน เพราะได้รู้โทษของ "ริษยา" แล้วว่าเป็นอย่างไร

เห็นมั้ยค่ะ....ว่าพิษสงของการจองเวร อันเนื่องมาจากอกุศลกรรม ที่ได้กระทำไว้กับผู้อื่น ทำให้ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจมากมายเพียงใด  ยิ่งถ้าเป็นเจตนากรรมที่แรงมาก ๆ  กรรมจะยิ่งส่งผลรวดเร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก......ทางที่จะรอดจากเวรก็คือ  การไม่สร้างอกุศลกรรมด้วยความตั้งใจจงใจ (เจตนา) หันมาสะสมความดีให้มากขึ้น......นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกท่านในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ  ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงควรอบรมเจริญสติอยู่เนื่อง ๆ ด้วยการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...สติเป็นธรรมเครื่องคุ้มครอง กาย วาจา ใจ ในที่ทุกสถาน.....ขอยุติเพียงแค่นี้จ๊ะ แล้วพบกันในบทความใหม่นะคะ

                                                            ................................................