วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กรรมของป้าติ่ง

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าคงสบายดีทุกท่านนะคะ  ช่วงนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์ร้อนพอ ๆ กับเมืองไทยเลยนะ ฝนไม่ตกสัปดาห์หนึ่ง รู้สึกว่าจะแห้งแล้งไปหมด ต้นหญ้าถูกแดดเผาเฉาไม่น่าดูเลย ดอกไม้กำลังจะบานชูช่อก็คอพับตาม ๆ กันซะแล้ว ผลไม้กำลังจะออกผลก็เหี่ยวหดไม่เต่งตึง แถมรสชาดผักผลไม้ก็เพี้ยนไปหมด เพราะธรรมชาติแปรปรวนอยู่บ่อย ๆ .... ความแปรปรวนและความไม่เที่ยงนี่แหละ เป็นเหตุแห่งทุกข์  ถ้าเราไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติหรือธรรมะ เราก็จะต้องมีความทุกข์กายทุกข์ใจมากทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย....วันนี้ฉันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้มีเรื่องมาเล่าสู่กันอ่านอีก เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องจริงเพิ่งเกิดกับเพื่อนของฉันเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง

เมื่อสองวันมานี้ เพื่อนฉันได้เล่าให้ฟังว่า เธอได้งานทำแล้ว หลังจากที่ได้ติดต่อสมัครงานและหางานมาเป็นเวลาหลายเดือน งานที่เธอต้องการทำหายากมาก  เพราะว่าเขาไม่รับคนอายุมาก เธออายุ ๖๐ ปีเศษ ๆ  งานใหม่นี้เป็นงานรับจ้างเลี้ยงเด็กลูกคนไทย  แม่เขาทำงานเกือบทั้งคืนทั้งวัน จึงไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เลยต้องจ้างคนอื่นเอาไปเลี้ยงให้  คือรับเลี้ยงและทำหน้าที่เหมือนเป็นแม่เด็กเลยล่ะ เอามาอยู่บ้านด้วยกันเป็นเวลา ๖ วัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ตอนเช้าก็นำไปส่งให้แม่เขา  แล้ววันจันทร์ตอนเช้าก็นั่งรถไฟไปรับเด็กมาเลี้ยงอีก  เด็กอยู่ต่างจังหวัด ต้องใช้เวลาเดินทางราว ๆ เกือบ ๒๐ นาที เป็นเด็กผู้ชายอายุ ๒ ขวบ หน้าตาน่ารักมาก เพราะเป็นเด็กลูกครึ่งไทยสวิส ชื่อ "จอนนี่" นอกจากจะมีความน่ารักมากแล้ว ยังมีความดื้อและความซนมากด้วย นี่ก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของเพื่อนฉัน ที่ต้องมารับเลี้ยงเด็กจอนนี่

วันแรกที่ไปรับหนูจอนนี่มาเลี้ยงที่บ้าน  หลังจากที่ได้กินอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ติ่ง (นามสมมุติของเพื่อน) ได้บอกกับเด็กว่า จะขอออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกบ้าน เด็กก็ตกลงว่าจะรออยู่ในบ้านคนเดียว  ติ่งชอบสูบบุหรี่จนติดเป็นนิสัย  แต่เธอจะไม่สูบในบ้าน เพราะว่าเจ้าของที่พักเขาไม่อนุญาต ระหว่างที่เธอสูบบุหรี่อยู่นอกบ้าน เด็กชายจอนนี่ก็อยู่ในบ้านคนเดียว ประตูบ้านเป็นประตูแบบคนภายนอกเปิดเข้าไม่ได้ ถ้าออกไปแล้ว จะเข้าบ้านอีก  คนในบ้านจะต้องช่วยเปิดประตูให้ จึงจะเข้าบ้านได้ ทีนี้เด็กจอนนี่เขาไม่ยอมเปิดประตูให้ป้าติ่งเข้าบ้าน อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ป้าติ่งก็ได้แต่ยืนพูดคนเดียวอยู่หน้าประตู โมโหก็โมโหเพราะเสียท่าเด็ก ๒ ขวบ นึกไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็ก ๆ  ยังไม่ทิ้ง
แพ้มเพ่อร์เลย สามารถแกล้งผู้ใหญ่ให้โมโหได้ขนาดนี้  เป็นเวลา ๒ ชั่วโมงเต็ม ๆ  ที่ป้าติ่งแกต้องยืนรออยู่หน้าประตูบ้านคนเดียว  พอจอนนี่เปิดประตูให้ป้าติ่งเข้าบ้านได้  ป้าติ่งเล่าว่า เธอตกกะใจแทบลมจับ ทั้งยืน เพราะจำจอนนี่ไม่ได้  จอนนี่เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เป็นจอนนี่ปากบานสีแดงแจ้ด เปลือกตาดำเป็นปื้น คิ้วดำเปรอะ แก้มเป็นจ้ำสีแดง ป้าติ่งเห็นแล้วอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง แกพูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะจัดการยังไงดีกับเด็กจอนนี่  จึงคิดว่า ทางที่ดีลองใช้วิธีเก็บน้ำขุ่นไว้ข้างใน เอาน้ำใสไว้ข้างนอกดีกว่า ป้าติ่งจะไม่มีการดุว่าหรือทำโทษจอนนี่ เพราะว่าเป็นวันแรกที่รู้จักกัน เกรงว่าเด็กจะกลัวและเกลียดแก่  ก็พูดกันดี ๆ บอกให้ไปทำความสะอาดหน้าตาซะโดยดี  เด็กก็ไปทำความสะอาดหน้าตาโดยมีป้าติ่งเป็นคนช่วย

พอถึงเวลานอนติ่งก็จะให้เด็กจอนนี่นอนเตียงเดียวกับเธอ แต่ว่าจอนนี่จะต้องนอนแต่หัวค่ำ จอนนี่ว่าง่ายเข้านอนตามคำสั่ง ส่วนป้าติ่งก็นอนดูทีวีในห้องรับแขกหน้าบ้าน เผลอหลับไป เจ้าจอนนี่แอบย่อง ๆ มาเปลี่ยนรายการทีวี ทำเสียงดังจนป้าติ่งตกใจตื่น จอนนี่เห็นป้ารู้สึกตัวตื่น จึงรีบวิ่งอย่างเร็วเข้าห้องนอน กระโดดขึ้นเตียงแล้วรีบห่มผ้า ให้ดูเหมือนว่าเขากำลังหลับอยู่ พอป้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จอนนี่ปล่อยหัวออกมาอย่างดัง ซะใจที่ได้แกล้งป้าติ่งให้โมโห  สร้างความเครียดให้ป้า จนป้านอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดหาวิธีที่จะปราบเจ้าจอนนี่แสนซนให้ได้....วันรุ่งขึ้นจอนนี่ก็ทำตัวน่ารักว่าง่ายดี แต่ไม่มีใครรู้พิษสงของเขา เพราะยังใหม่อยู่...... ตอนบ่ายวันนี้มีการนอนหลับกลางวันพักผ่อน  จอนนี่ก็ทำเป็นหลับ  ป้าติ่งคิดว่าหลับจริง ๆ  เธอก็เลยหลับจริง ๆ ด้วย  พอเห็นว่าป้าหลับส่งเสียงดังคร็อก ๆ จอนนี่จึงย่อง ๆ ไปเอาเชือกในครัว มามัดที่ข้อเท้าทั้งสองของป้าติดกันไว้  พอป้าติ่งรู้สึกตัวว่าโดนมัด จึงได้เกิดโทสะอย่างรุนแรง  จึงจับเด็กจอนนี่ไปทำโทษ โดยขับไว้ในห้องน้ำ จอนนี่ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนกัน เขาร้องไห้ตะโกนลั่นห้องน้ำเสียงดังมาก  ในที่สุดเสียงดังทะลุไปถึงห้องเพื่อนบ้านติดกัน  เพื่อนบ้านก็เกิดอาการโทสะเล่นงานเช่นเดียวกับป้าติ่ง เขาคิดว่าป้าติ่งทำร้ายเด็ก  จึงมากดกริ่งหน้าห้องพัก เพื่อจะช่วยเด็ก พอป้าเปิดประตูเท่านั้นแหละ เจ้าจอนนี่รู้ว่ามีคนมา ได้ท่าเลยร้อยไห้ใหญ่เลย แถมบอกว่าโดนป้าติ่งรังแก  ป้าเจอข้อหาทำร้ายร่างกายเด็ก ชาวบ้านเขาจะแจ้งตำรวจจับจริง ๆ ด้วย  ซวยจริง ๆ งานนี้มีแต่ขาดทุน แกมักจะเจออะไรซวยๆ เสมอ ป้าพูดความจริงไม่มีใครเชื่อ เพราะใคร ๆ ก็คิดว่าเด็กต้องไร้เดียงสาเสมอ  แต่เด็กจอนนี่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ เขาร้ายเดียงสา

ชาวบ้านเขารู้จักป้าติ่งดี ว่าเป็นคนใจบุญชอบช่วยเหลือคน  เขาก็เลยยังไม่แจ้งตำรวจ แต่ก็บอกไว้ว่า ถ้าเกิดเหตุเช่นนี้อีกเขาจะแจ้งตำรวจทันที  สรุปแล้วป้าติ่งแกซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง ค่าจ้างเลี้ยงเด็กไม่คุ้มเลย แถมยังได้แต่ความเครียด ไม่สนุกเลย เด็กจอนนี่ซนมาก ๆ เผลอไม่ได้ชอบค้นข้าวของในบ้าน ต้องตามเก็บจนเหนื่อย  แต่ว่าถึงจะร้ายมากมายแค่ไหนก็ตาม ป้าติ่งบอกว่า ตอนนี้เธอรักจอนนี่มาก อยู่ด้วยกันมาได้ ๑ สัปดาห์แล้ว แต่จอนนี่ดีกับป้าไม่กี่วัน ส่วนใหญ่จะแกล้งป้ามาตลอด และตอนนี้จอนนี่ก็ได้ถูกส่งไปลองอยู่กับคนอื่น เขาคงจะเบื่อที่จะอยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ จึงให้แม่เปลี่ยนคนเลี้ยงบ่อย ๆ

สรุปแล้ว  ป้าติ่งก็ได้เสวยอกุศลวิบากไปแล้ว เพราะเหตุว่าตลอดเวลาที่เด็กจอนนี่อยู่ด้วย เธอมีแต่ความเครียดความทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอในชีวิตแต่ละวัน เพราะว่าเด็กจอนนี่คนนี้ร้ายมาก ๆ แต่ก็มีความฉลาดพอตัว ตอนหลังเธอบอกว่า "รักจอนนี่มาก" จอนนี่ก็รักเธอเช่นกัน แต่ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  เพราะเหตุว่าจอนนี่ต้องเร่ร่อนไปอยู่กับคนเลี้ยงใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

นี่แหละกรรม....เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏโดยไม่มีใครขัดค้านได้เลย  อย่างเรื่องของป้าติ่ง  เธอหางานตั้งนานไม่ได้  แต่กลับได้งานที่ไม่ได้หา ได้เพราะมีคนแนะนำให้ แล้วก็ประสบแต่ความเครียดมาตลอด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้  ส่วนจะกระทำแต่เมื่อไรนั้นไม่มีใครทราบได้จ๊ะ....บทความนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า "สติ" เท่านั้นเป็นเครื่องคุ้มครองกายใจให้ปลอดภัยได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ และยังเป็นเรื่องเตือนใจว่า "ทุกคนหนีไม่พ้นจากกฏแห่งกรรม"  เพราะฉะนั้น จึงควรสะสมแต่สิ่งที่ดี ๆ เพื่อที่จะได้เสวยวิบากที่ดี ๆ  สำหรับเรื่องนี้ก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ.....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด  และคอยติดตามต่อไปอีกนะคะ

                                         
                                                ....................................