วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เป็นกรรมกับตัวลิ้้นหมา


สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ทุกท่านคงสบายดีนะคะ ตอนเย็นวันนี้แถบที่ฉันอยู่ อากาศดีไม่ร้อนมากนัก เพราะมีพระพิรุธมาโปรด!  ฝนตกอย่างไม่มีวี่แววมาก่อน ทั้งฝนทั้งลมมาแรง ๆ พอฝนลงมาก ๆ ก็กลัวต้นไม้จะสำลักน้ำกัน ฝนหยุดแดดจ้า พอแสงกระทบกับละอองน้ำ เกิดรุ้งกินน้ำปรากฏเป็นครึ่งวงกลมสวยน่าดู เหตุการณ์ธรรมชาติสวย ๆ เช่นนี้ไม่ค่อยได้ชมบ่อยนัก แต่ที่แย่มาก  ๆ ตอนหลังฝนตกอากาศชื้น ๆ มักจะมีสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ชื่อว่า "ลิ้นหมา" ออกมาจากในดิน เลื้อยทั่วบริเวณบ้าน ถ้าออกไปเดินเล่นนอกบ้านยามค่ำ ก็จะพบกับพวกลิ้นหมาเต็มทางเดินไปหมด เขาชอบออกหากินตอนอากาศชื้น ๆ ถ้าฤดูหนาวก็จะหลบอยู่ในดิน หรืออากาศร้อนก็จะไม่ปรากฏตัวให้เห็น  เย็นวันนี้ก็มีตัวลิ้นหมา ออกมาเลี้อยอยู่ตามพื้นนอกชานหน้าบ้านหลายตัว ทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์เกี่ยวกับพวกตัวลิ้นหมา  และคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่น้อยทีเดียว เพราะช่วงนี้พวกตัวลิ้นหมาจะออกมาบ่อย ๆ  ตอนเช้ากับตอนเย็น บางท่านอาจจะมีปัญหากับพวกลิ้นหมา และยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้

ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่คงรู้จักตัวลิ้นหมาดี  และคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นัก เพราะว่าแกรูปร่างไม่น่าสวยงามนัก แถมยังความประพฤติก็ไม่ดีด้วย เลี้อยไปตรงไหนก็ทิ้งรอยเมือกไว้เป็นทาง เหนียวเป็นมัน ล้างก็ไม่ออก ถ้าเลื้อยขึ้ตามฝาผนังหรือกระจกบ้าน จะมีลวดลายติดเกรอะกังน่าเกียจ ใครเจออาการเช่นนี้ รับรองว่าต้องมีโทสะแน่ ๆ เพราะว่ามันสร้างความเดือดร้อนให้เราต้องเสียเวลา และต้องออกแรงเป็นพิเศษในการทำความสะอาด  เมื่อก่อนฉันเคยมีปัญหากับพวกตัวลิ้นหมาบ่อยมากเลย เวลาเราปลูกดอกไม้สวย ๆ มีดอกให้ชมชื่นใจอยู่ไม่นาน เผลอแผล็บเดียวดอกไม้สวย ๆ หายหมด เพราะโดนเจ้าตัวร้ายฟัดเรียบ โดยเฉพาะดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ๆ หรือกลิ่นฉุน ๆ อย่างพวกดอกดาวเรือง ดอกรักเร่ เป็นอาหารที่ดีมากของพวกแก พวกผักสลัดกรอบ ๆ ผักใบอ่อน ๆ หรือใบไม้อ่อน ๆ ก็ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่มีดอก้ไม้ให้กิน พวกแกก็จะกินใบไม้ใบหญ้า กินมาก ๆ แล้วก็อ้วกแตกตายคาทีก็มีเยอะ เราเคยคิดหาวิธีปราบพวกตัวลิ้นหมาหลายวิธีมาก เช่นวิธีปราบแบบไม่ทำร้ายชีวิตเขา โดยการเอาเบียร์ใส่จานไว้ พอเขาได้กลิ่นเบียร์ เขาก็จะพากันมากินเบียร์ กินจนเมาตาม ๆ กัน บางตัวก็ชอบเบียร์มาก ลงไปแช่ในจานเลย แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล เพราะว่าพอส่างเมาแล้วก็เหมือนเดิม จากนั้นพอมีแรงก็จะไปเที่ยวหากินดอกไม้สวย ๆ งาม ๆ จนเกลี้ยงอีก

 เราคิดหาวิธีใหม่ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ทรมานเขา  คิดว่าคงจะดีและได้ผล คือให้เขากินพวกสลัดซื้อมาสด ๆ ให้ไปกินนอกบริเวณบ้าน มีที่ให้กินโดยเฉพาะ เราก็ช่วยเขาด้วยนะ คือช่วยกันเก็บพวกเขาไปรวมไว้ที่เดียวกัน แล้วเอาสลัดกองไว้ให้พวกเขาจัดการกันเองตามสบาย ให้กินกันอย่างเต็มที่ เสร็จแล้วผลปรากฏว่า พอเขากินเสร็จก็พากันเลื้อยกลับมาหากินใบไม้สวย ๆ กำลังแตกใบอ่อน ทำความเดือดร้อนให้เราไม่หยุดเลย เราก็หาวิธีปราบไม่หยุดเหมือนกัน ทีนี้เอาวิธีใหม่ คือเก็บพวกเขารวม ๆ กันให้ได้เยอะ ๆ แล้วเอาไปปล่อยกลางทุ่งนา คิดว่าเขาคงกลับบ้านไม่ถูกแน่ แต่ปรากฏว่าเราเอาเขาไปปล่อยตอนเย็น พอตอนเช้าพวกเขาก็มาเลื้อยเต็มสวนเหมือนเดิมอีก  สามีฉันบอกว่า พวกตัวลิ้นหมามันเลื้อยกลับบ้านได้ มันเลื้อยเร็วก็ได้ด้วย ก็เป็นความจริง เราหาวิธีแก้ปัญหากับพวกตัวลิ้นหมาวิธีสุดท้ายก็คือ เลิกปลูกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม อย่างพวกผักใบฉุน ๆ พวกสะระแหน่ ต้นหอม ผักชีนี่ปลูกไม้ได้เด็ดขาด เขาชอบมาก  สัตว์พวกนี้ดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไรมากนัก แต่เขาอาฆาตเป็นเหมือนกันน่ะ

น้องสาวฉันเป็นคนที่เกลียดพวกตัวลิ้นหมามาก ๆ เลย พวกตัวลิ้นหมามันก็รู้ว่าใครเกลียดมัน ดูเหมือนมันจะชอบแกล้งด้วยล่ะ มีอยู่วันหนึ่งเขากำลังรีดเสื้อของเขาเอง รีด ๆ ไปบังเอิญมือไปถูกอะไรนิ่ม ๆ ที่ใต้ปกเสื้อ พอเปิดดูก็เห็นเป็นตัวลิ้นหมาซ่อนอยู่ใต้ปกเสื้อ ตัวสีดำโตมากทีเดียว เขาก็ร้องลั่นเพราะตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันแบบนั้น เวลาน้องฉันซื้อผัก และเขาจะเป็นคนทำหน้าที่ล้างผักเอง ก็มักจะเจอตัวลิ้นหมาอยู่ในผักบ่อย ๆ  บางครั้งเวลาเขาเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ หน้าต่าง ไม่นานนักก็จะมีตัวลิ้นหมาเลื้อยขึ้นมาที่หน้าต่างให้เห็น  เพราะพวกตัวลิ้นหมามันรู้ว่าเธอเป็นคนทำหน้าที่เช็ดทำความสะอาดกระจก สัตว์เดรัจฉานนี่เขาก็มีจิตวิญญาณเหมือนมนุษย์ เขารู้ว่าใครเกลียดหรือชอบเขา ส่วนตัวฉันเอง ถ้าถามว่าชอบมั้ย ขอตอบว่าไม่เกลียดแต่ก็ไม่ชอบนะ เห็นก็รู้สึกเฉย แต่ก็จะมีความแปลกตรงที่ว่าจะไม่ค่อยเห็นพวกเขา  ถ้าเขาหลบซ่อนอยู่ตามผักหรือตามสิ่งของ บางครั้งซื้อผักที่มีตัวลิ้นหมาเกาะอยู่ก็ยังไม่เห็น จนน้องสาวทักว่า "เห็นไอ้ตัวร้ายมั้ยน่ะ" ฉันถาม "อยู่ไหน" ขนาดอยู่ตำตาก็ไม่เห็นกัน ก็แปลกดีนะ

ฉันเคยเหยียบพวกตัวลิ้นหมาบ่อยมาก เพราะบางครั้งในที่มืดมองไม่เห็น พอรู้ก็แบนซะแล้ว ช่วยไม่ได้จริง ๆ แต่เขาตายแล้วไม่ไปไหน เขามาเกาะอยู่ที่เท้า ทำให้ปวดบวมอักเสบอย่างกระทันหัน ไปเอ็ซเรย์ก็ไม่พบอะไรผิดปรกติ  หมอแนะนำต้องตัดลองเท้าพิเศษประเภทลองเท้าอนามัย เพื่อช่วยไม่ให้ปวดเวลาเดิน ต้องเปลี่ยนเป็นรองเท้าอนามัยหมดเลย แต่ละคู่แพงมาก เสียเงินค่าหมอและค่ารองเท้าหลายตังค์เหมือนกัน กว่าจะหายเป็นปรกติเป็นเวลาถึง ๖ เดือน  เขาจองเวรนานมากทีเดียว คงจะเป็นเพราะว่าเราไปเหยียบพวกเขาอยู่บ่อย ๆ  ได้บทเรียนราคาแพงจากพวกลิ้นหมา เลยทำให้ต้องมีสติระวังมากขึ้น เวลาเจอพวกเขาเลื้อยอยู่ตามข้างถนน ก็จะช่วยเขาให้ปลอดภัยจากการถูกเหยียบ กด้วยวิธีเอาไม้เขี้ยเขาให้หลบไปไกล ๆ จากทางเดิน

จากนั้นมาก็รู้สึกว่ากรรมกับพวกลิ้นหมาเบาลงได้  เพราะเราเลิกเบียดเบียนเขา เขาก็จะไม่เบียดเบียนเราเช่นกัน ฉันจะสอนลูกเสมอ ๆ ว่าให้ช่วยชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยและไม่เบียดเบียนสัตว์ทุกชนิด  เดี๋ยวนี้เราไม่มีปัญหากับพวกลิ้นหมาอีกแล้ว เราไม่สนใจว่าเขาจะกินอะไรของเรา ใครอยากทำอะไรก็ทำไป จะกินอะไรก็ได้ เพราะเขาก็หิวเหมือนเรา  เมื่อเราไม่หวง เขาก็รู้เหมือนกัน เขาก็จะกินแต่ใบหญ้าหรือใบไม้ที่หล่นจากต้นเท่านั้น

อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างค่ะ  ถ้าท่านมีปัญหากับพวกตัวลิ้นหมา ก็ลองใช้วิธีปล่อยวางอย่างที่ฉันทำก็ได้นะคะ  วิธีนี้ได้ผลดีทีเดียวจ๊ะ และไม่มีเวรกรรมต่อกันด้วย  เรื่องของเจ้าลิ้นหมาก็คงจะจบกันแค่นี้ล่ะ  แล้วพบกันในบทความใหม่นะคะ


                                                .......................................











วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กรรมของป้าติ่ง

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าคงสบายดีทุกท่านนะคะ  ช่วงนี้อากาศที่สวิตเซอร์แลนด์ร้อนพอ ๆ กับเมืองไทยเลยนะ ฝนไม่ตกสัปดาห์หนึ่ง รู้สึกว่าจะแห้งแล้งไปหมด ต้นหญ้าถูกแดดเผาเฉาไม่น่าดูเลย ดอกไม้กำลังจะบานชูช่อก็คอพับตาม ๆ กันซะแล้ว ผลไม้กำลังจะออกผลก็เหี่ยวหดไม่เต่งตึง แถมรสชาดผักผลไม้ก็เพี้ยนไปหมด เพราะธรรมชาติแปรปรวนอยู่บ่อย ๆ .... ความแปรปรวนและความไม่เที่ยงนี่แหละ เป็นเหตุแห่งทุกข์  ถ้าเราไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมชาติหรือธรรมะ เราก็จะต้องมีความทุกข์กายทุกข์ใจมากทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย....วันนี้ฉันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้มีเรื่องมาเล่าสู่กันอ่านอีก เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องจริงเพิ่งเกิดกับเพื่อนของฉันเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง

เมื่อสองวันมานี้ เพื่อนฉันได้เล่าให้ฟังว่า เธอได้งานทำแล้ว หลังจากที่ได้ติดต่อสมัครงานและหางานมาเป็นเวลาหลายเดือน งานที่เธอต้องการทำหายากมาก  เพราะว่าเขาไม่รับคนอายุมาก เธออายุ ๖๐ ปีเศษ ๆ  งานใหม่นี้เป็นงานรับจ้างเลี้ยงเด็กลูกคนไทย  แม่เขาทำงานเกือบทั้งคืนทั้งวัน จึงไม่มีเวลาเลี้ยงลูก เลยต้องจ้างคนอื่นเอาไปเลี้ยงให้  คือรับเลี้ยงและทำหน้าที่เหมือนเป็นแม่เด็กเลยล่ะ เอามาอยู่บ้านด้วยกันเป็นเวลา ๖ วัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ตอนเช้าก็นำไปส่งให้แม่เขา  แล้ววันจันทร์ตอนเช้าก็นั่งรถไฟไปรับเด็กมาเลี้ยงอีก  เด็กอยู่ต่างจังหวัด ต้องใช้เวลาเดินทางราว ๆ เกือบ ๒๐ นาที เป็นเด็กผู้ชายอายุ ๒ ขวบ หน้าตาน่ารักมาก เพราะเป็นเด็กลูกครึ่งไทยสวิส ชื่อ "จอนนี่" นอกจากจะมีความน่ารักมากแล้ว ยังมีความดื้อและความซนมากด้วย นี่ก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของเพื่อนฉัน ที่ต้องมารับเลี้ยงเด็กจอนนี่

วันแรกที่ไปรับหนูจอนนี่มาเลี้ยงที่บ้าน  หลังจากที่ได้กินอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ติ่ง (นามสมมุติของเพื่อน) ได้บอกกับเด็กว่า จะขอออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกบ้าน เด็กก็ตกลงว่าจะรออยู่ในบ้านคนเดียว  ติ่งชอบสูบบุหรี่จนติดเป็นนิสัย  แต่เธอจะไม่สูบในบ้าน เพราะว่าเจ้าของที่พักเขาไม่อนุญาต ระหว่างที่เธอสูบบุหรี่อยู่นอกบ้าน เด็กชายจอนนี่ก็อยู่ในบ้านคนเดียว ประตูบ้านเป็นประตูแบบคนภายนอกเปิดเข้าไม่ได้ ถ้าออกไปแล้ว จะเข้าบ้านอีก  คนในบ้านจะต้องช่วยเปิดประตูให้ จึงจะเข้าบ้านได้ ทีนี้เด็กจอนนี่เขาไม่ยอมเปิดประตูให้ป้าติ่งเข้าบ้าน อ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ป้าติ่งก็ได้แต่ยืนพูดคนเดียวอยู่หน้าประตู โมโหก็โมโหเพราะเสียท่าเด็ก ๒ ขวบ นึกไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็ก ๆ  ยังไม่ทิ้ง
แพ้มเพ่อร์เลย สามารถแกล้งผู้ใหญ่ให้โมโหได้ขนาดนี้  เป็นเวลา ๒ ชั่วโมงเต็ม ๆ  ที่ป้าติ่งแกต้องยืนรออยู่หน้าประตูบ้านคนเดียว  พอจอนนี่เปิดประตูให้ป้าติ่งเข้าบ้านได้  ป้าติ่งเล่าว่า เธอตกกะใจแทบลมจับ ทั้งยืน เพราะจำจอนนี่ไม่ได้  จอนนี่เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เป็นจอนนี่ปากบานสีแดงแจ้ด เปลือกตาดำเป็นปื้น คิ้วดำเปรอะ แก้มเป็นจ้ำสีแดง ป้าติ่งเห็นแล้วอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง แกพูดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะจัดการยังไงดีกับเด็กจอนนี่  จึงคิดว่า ทางที่ดีลองใช้วิธีเก็บน้ำขุ่นไว้ข้างใน เอาน้ำใสไว้ข้างนอกดีกว่า ป้าติ่งจะไม่มีการดุว่าหรือทำโทษจอนนี่ เพราะว่าเป็นวันแรกที่รู้จักกัน เกรงว่าเด็กจะกลัวและเกลียดแก่  ก็พูดกันดี ๆ บอกให้ไปทำความสะอาดหน้าตาซะโดยดี  เด็กก็ไปทำความสะอาดหน้าตาโดยมีป้าติ่งเป็นคนช่วย

พอถึงเวลานอนติ่งก็จะให้เด็กจอนนี่นอนเตียงเดียวกับเธอ แต่ว่าจอนนี่จะต้องนอนแต่หัวค่ำ จอนนี่ว่าง่ายเข้านอนตามคำสั่ง ส่วนป้าติ่งก็นอนดูทีวีในห้องรับแขกหน้าบ้าน เผลอหลับไป เจ้าจอนนี่แอบย่อง ๆ มาเปลี่ยนรายการทีวี ทำเสียงดังจนป้าติ่งตกใจตื่น จอนนี่เห็นป้ารู้สึกตัวตื่น จึงรีบวิ่งอย่างเร็วเข้าห้องนอน กระโดดขึ้นเตียงแล้วรีบห่มผ้า ให้ดูเหมือนว่าเขากำลังหลับอยู่ พอป้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จอนนี่ปล่อยหัวออกมาอย่างดัง ซะใจที่ได้แกล้งป้าติ่งให้โมโห  สร้างความเครียดให้ป้า จนป้านอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดหาวิธีที่จะปราบเจ้าจอนนี่แสนซนให้ได้....วันรุ่งขึ้นจอนนี่ก็ทำตัวน่ารักว่าง่ายดี แต่ไม่มีใครรู้พิษสงของเขา เพราะยังใหม่อยู่...... ตอนบ่ายวันนี้มีการนอนหลับกลางวันพักผ่อน  จอนนี่ก็ทำเป็นหลับ  ป้าติ่งคิดว่าหลับจริง ๆ  เธอก็เลยหลับจริง ๆ ด้วย  พอเห็นว่าป้าหลับส่งเสียงดังคร็อก ๆ จอนนี่จึงย่อง ๆ ไปเอาเชือกในครัว มามัดที่ข้อเท้าทั้งสองของป้าติดกันไว้  พอป้าติ่งรู้สึกตัวว่าโดนมัด จึงได้เกิดโทสะอย่างรุนแรง  จึงจับเด็กจอนนี่ไปทำโทษ โดยขับไว้ในห้องน้ำ จอนนี่ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เหมือนกัน เขาร้องไห้ตะโกนลั่นห้องน้ำเสียงดังมาก  ในที่สุดเสียงดังทะลุไปถึงห้องเพื่อนบ้านติดกัน  เพื่อนบ้านก็เกิดอาการโทสะเล่นงานเช่นเดียวกับป้าติ่ง เขาคิดว่าป้าติ่งทำร้ายเด็ก  จึงมากดกริ่งหน้าห้องพัก เพื่อจะช่วยเด็ก พอป้าเปิดประตูเท่านั้นแหละ เจ้าจอนนี่รู้ว่ามีคนมา ได้ท่าเลยร้อยไห้ใหญ่เลย แถมบอกว่าโดนป้าติ่งรังแก  ป้าเจอข้อหาทำร้ายร่างกายเด็ก ชาวบ้านเขาจะแจ้งตำรวจจับจริง ๆ ด้วย  ซวยจริง ๆ งานนี้มีแต่ขาดทุน แกมักจะเจออะไรซวยๆ เสมอ ป้าพูดความจริงไม่มีใครเชื่อ เพราะใคร ๆ ก็คิดว่าเด็กต้องไร้เดียงสาเสมอ  แต่เด็กจอนนี่ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ เขาร้ายเดียงสา

ชาวบ้านเขารู้จักป้าติ่งดี ว่าเป็นคนใจบุญชอบช่วยเหลือคน  เขาก็เลยยังไม่แจ้งตำรวจ แต่ก็บอกไว้ว่า ถ้าเกิดเหตุเช่นนี้อีกเขาจะแจ้งตำรวจทันที  สรุปแล้วป้าติ่งแกซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง ค่าจ้างเลี้ยงเด็กไม่คุ้มเลย แถมยังได้แต่ความเครียด ไม่สนุกเลย เด็กจอนนี่ซนมาก ๆ เผลอไม่ได้ชอบค้นข้าวของในบ้าน ต้องตามเก็บจนเหนื่อย  แต่ว่าถึงจะร้ายมากมายแค่ไหนก็ตาม ป้าติ่งบอกว่า ตอนนี้เธอรักจอนนี่มาก อยู่ด้วยกันมาได้ ๑ สัปดาห์แล้ว แต่จอนนี่ดีกับป้าไม่กี่วัน ส่วนใหญ่จะแกล้งป้ามาตลอด และตอนนี้จอนนี่ก็ได้ถูกส่งไปลองอยู่กับคนอื่น เขาคงจะเบื่อที่จะอยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ จึงให้แม่เปลี่ยนคนเลี้ยงบ่อย ๆ

สรุปแล้ว  ป้าติ่งก็ได้เสวยอกุศลวิบากไปแล้ว เพราะเหตุว่าตลอดเวลาที่เด็กจอนนี่อยู่ด้วย เธอมีแต่ความเครียดความทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอในชีวิตแต่ละวัน เพราะว่าเด็กจอนนี่คนนี้ร้ายมาก ๆ แต่ก็มีความฉลาดพอตัว ตอนหลังเธอบอกว่า "รักจอนนี่มาก" จอนนี่ก็รักเธอเช่นกัน แต่ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  เพราะเหตุว่าจอนนี่ต้องเร่ร่อนไปอยู่กับคนเลี้ยงใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

นี่แหละกรรม....เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏโดยไม่มีใครขัดค้านได้เลย  อย่างเรื่องของป้าติ่ง  เธอหางานตั้งนานไม่ได้  แต่กลับได้งานที่ไม่ได้หา ได้เพราะมีคนแนะนำให้ แล้วก็ประสบแต่ความเครียดมาตลอด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้  ส่วนจะกระทำแต่เมื่อไรนั้นไม่มีใครทราบได้จ๊ะ....บทความนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า "สติ" เท่านั้นเป็นเครื่องคุ้มครองกายใจให้ปลอดภัยได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ และยังเป็นเรื่องเตือนใจว่า "ทุกคนหนีไม่พ้นจากกฏแห่งกรรม"  เพราะฉะนั้น จึงควรสะสมแต่สิ่งที่ดี ๆ เพื่อที่จะได้เสวยวิบากที่ดี ๆ  สำหรับเรื่องนี้ก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ.....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด  และคอยติดตามต่อไปอีกนะคะ

                                         
                                                ....................................






วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หนี้กรรม (ตอนที่ ๒)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน....อ่านเรื่องหนี้กรรมตอนที่ ๑  จบไปแล้ว  ท่านรู้สึกจิตใจเป็นอย่างไรบ้างคะ  คงจะสงสารหนูมากกว่าสมน้ำหน้านะคะ  สัตว์ก็มีวิบากกรรมเหมือนกับคน  เพราะเหตุว่ามีขันธ์ ๕ เหมือนกัน สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ  ตน.....การที่ได้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เพราะว่าผล (วิบาก) ของอกุศลกรรมมีกำลังแรงกว่าผลของกุศลกรรม  เมื่อเกิดเป็นสัตว์ก็ไม่สามารถที่สร้างบุญกุศลอะไรได้เหมือนกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีขันธ์ ๕ เหมือนกันก็ตาม  ก็จะมีแต่เวียนวายตายเกิดอยู่ในอบายภูมิเรื่อยไป  จนกว่าผลของกุศลกรรมในชาติก่อน ๆ  จะส่งผลให้เกิดในภูมิมนุษย์

วันนี้ฉันก็จะขอเล่าเรื่องหนี้กรรมต่อเลยนะคะ  เพื่อไม่ให้เสียเวลารอคอยกันนานนัก  บางท่านก็อาจจะรอมาหลายวันแล้ว เพราะอยากจะทราบว่าหลังจากพวกหนูมันตายกันหมดแล้ว  ยังจะมีพิษสงอะไรอีกหนอ.....  กรรมที่ได้กระทำสำเร็จครบองค์แล้ว ย่อมมีผลหรือวิบากตามเหตุตามปัจจัย  ผลของกรรมจะส่งผลส่งผล  เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ที่จะให้ผลของกรรมเกิด ผลของกรรมก็ย่อมเกิด ถ้าเป็นกรรมที่มีกำลังแรงเพราะเหตุว่าเป็นกรรมที่ประกอบด้วยเจตนา  ผลหรือวิบากกรรมก็ย่อมส่งผลเร็วกว่ากรรมที่ไม่ประกอบด้วยเจตนา.....เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวของคุณหน่อยและคุณพิชัย หลังจากที่หนู ๔ ตัวพ่อแม่เลูก ได้ตายเพราะความเหนียวของกาวแล้ว  การตายของพวกหนูเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจริง ไม่มีใครสามารถช่วยได้  คุณหน่อยเองก็ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าพวกเขาหรอกนะ  แต่ว่าคงจะเป็นวิบากกรรมของพวกหนูด้วย จึงต้องมาตายในลักษณะเช่นนั้น  กรรมที่คุณหน่อยได้กระทำสำเร็จไปแล้วนั้น  ก็ได้ส่งผลอย่างรวดเร็วเกินคาด
เรื่องของวิบากกรรมเป็นเรื่องที่วิจิตรมากและยุติธรรมมาก  ใครทำกรรมเช่นใดไว้ก็จะต้องได้รับผลของกรรมเช่นนั้น

มีอยู่วันหนึ่งหนูตุ๊กตาลูกสาวคนเล็กวัย ๕ ขวบ  หลังจากเลิกเรียนโรงเรียนอนุบาล  พอกลับถึงบ้านเธอคงจะหิวมาก  จึงรีบวิ่งเข้าครัวเพื่อที่จะหาอะไรกิน  ตอนนั้นยังอยู่ในชุดนักเรียน  ยังไม่มีเวลาเปลี่ยน เพราะว่าหิวจัด  เธอจึงได้ปีนขึ้นบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่ตั้้งอยู่คู่กับโต๊ะอาหารในครัว  เพื่อที่จะเอาของกิน (ขนม) ที่อยู่บนโต๊ะ เธอยังเด็กยังเล็กมาก ไม่ได้คิดอะไร  รู้แต่ว่าหิวก็จะเอาของกินให้ได้  เก้าอี้ที่เธอปีนขึ้นไปนั้น  ได้มีกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่บนเก้าด้วย  มันก็เป็นเรื่องแปลกดีนะ  ที่กระติกน้ำร้อนตั้งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่หนูน้อยตุ๊กตาต้องการจะปีน  ทำไมจะต้องเจาะจงปีนเก้าอี้ตัวที่มีกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่ด้วย  ทำไมไม่ปีนที่ตัวอื่น  และทำไมต้องเอากระติก มาตั้งไว้บนเก้าอี้ในวันนั้นด้วย  ทั้ง ๆ ที่ปรกติจะตั้งอยู่บนโต๊ะ  หนูตู๊กตาก็ไม่ได้สนใจกระติกน้ำร้อนเลย สนใจอย่างเดียวคือเรื่องของกิน  บังเอิญพอปีนขึ้นไป ยังไม่ทันจะยืนบนเก้าอี้  กระโปงเจ้ากรรมทำเรื่องอย่างช่วยไม่ได้เลย  ดันไปปัดเอากระติกน้ำร้อนหล่นลงมาพร้อมกับหนูน้อยผู้น่าสงสาร  ร่างน้อย ๆ ได้ตกลงมานอนฟุบอยู่กับพื้นห้องอย่างไม่เป็นท่า  กระติกน้ำหล่นลงมากระทบกับพื้นด้วยความแรง  เกิดเสียงดังเหมือนสนั่นลั่นบ้าน  ฝากระติกน้ำกระเด็นไปคนละทิศคนละทางกับตัว  ทันใดนั้นน้ำร้อนน้ำในกระติกซึ่งร้อนจัดแบบจัด ๆ  ได้ไหลออกมาลวกขาน้อย ๆ ของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา  พ่อแม่ของเธอได้รีบนำเธอส่งโรงพยาบาลโดยเร็วด่วน....

ระหว่างที่รอการตรวจเช็คจากแพทย์ทางโรงพยาบาล  คุณหน่อยได้เล่าว่า  เธอได้เห็นหนูวิ่งผ่านหน้าเธอไปหลายตัว  จึงเป็นเหตุให้เธอนึกขึ้นได้ว่าหนูพวกนี้เขาได้มาทวงหนี้กรรมกับเธอแล้ว  เธอทราบดีว่าที่ลูกสาวเธอต้องโดนน้ำร้อนลวกเจ็บแสบที่ท้าวและที่ขานั้น  มันเป็นอาการเหมือนที่พวกหนูเขาเป็น  ลูกสาวเธอต้องนอนรักษาแผลซึ่งถูกน้ำร้อนลวกเหวอะหวะอยู่เป็นเวลานานถึง ๒ สัปดาห์  ขณะนั้นที่เธอนอนเฝ้าลูกอยู่ที่โรงพยาบาล พวกหนูก็ได้พากันมาปรากฏให้เธอเห็นอยู่บ่อย ๆ  จะเห็นหนูวิ่งอยู่ที่พื้นห้องหลายตัว  ทั้ง ๆที่ห้องนอนของโรงพยาบาลก็สะอาด ไม่น่าจะมีหนูมาซุกซ่อนอยู่ในที่นั้นได้  แต่ทว่าหนูพวกนี้เขาวิ่งผ่านหน้าแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว  ก็คงจะเป็นวิญญาณที่ยังอาฆาตพยาบาทกันอยู่.....เมื่อทราบว่าเป็นวิญญาณพวกหนูที่ตายไปเมื่อ ๓ วันก่อนนี้  คุณหน่อยจึงได้สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พวกหนูทุกตัวทุกตนมีความสุขอย่าได้มาจองเวรจองกรรมกันอีก  หลังจากนั้นเธอก็ไม่เห็นวิญญาณของพวกหนูอีกเลย  ส่วนลูกสาวของเธอก็ได้ชดใช้กรรมที่แม่ได้ทำไว้แล้ว  ทุกวันนี้ที่ขาทั้งสองข้างของหนูตุ๊กตาก็ยังมีรอยแผลเป็นอยู่ เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนในบ้านว่า "ไม่ควรเบียดเบียนสัตว์"......ครอบครัวนี้เขาเป็นคนใจบุญ  สวดมนต์ภาวนาท้งครอบครัว  แต่ที่ได้กระทำกรรมกับพวกหนูก็คงจะเป็นเพราะว่าเคยกระทำกรรมเช่นนี้มาแล้วแต่ปางก่อน