วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนี้กรรม (ตอนที่ ๑)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน....วันนี้พบกันอีกเช่นเคย  ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ จ๊ะ ที่ได้ติดตามอ่านบทความของฉันมาโดยตลอด   หวังว่าท่านคงไม่เบื่อ "กฏแห่งกรรม" นะคะ          .....ชีวิตวัน ๆ ก็หนีไม่พ้นกฏแห่งกรรม ถึงเบื่อยังไง ๆ ก็ต้องเจอจ๊ะ  เพราะเหตุว่าเราเกิดมาก็ด้วยผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วแต่ชาติปางก่อน จึงได้มาเสวยผลของกรรมดีและกรรมชั่วในชาตินี้  ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้....สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ  ตน  กรรมทุกอย่างมีผลหรือวิบาก ซึ่งจะส่งผลแล้วแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วแต่กาลเวลาพร้อมที่จะให้กรรม แต่ละประเภทส่งผล......การกระทำกรรมต่าง ๆ นั้น กระทำได้เพียง ๓ ทางเท่านั้น คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ  สำหรับทางใจนั้น จะสำเร็จให้ผลเป็นวิบากกรรมได้ ก็ต่อเมื่อครบองค์  คือการกระทำนั้นแสดงออกมา เป็นการกระทำทางกายหรือทางวาจา....ผลหรือวิบากกรรมย่อมเป็นไปตามกฏแห่งกรรม

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ....บางท่านอาจจะคัดค้านในใจว่า ไม่จริ้งไม่จริง  เห็นบางคนทำชั่วร้ายมากมาย  ก็ยังไม่เห็นทุกข์ยากลำบากเลย  นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกัน  เพราะเหตุว่า ผลของกุศลกรรมในชาติก่อนมีกำลังแรงกว่า จึงส่งผลให้เขาได้เสวยสุขในชาตินี้  ส่วนผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นก็จะส่งผลแน่นอน  เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะส่งผล  คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ  ได้กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไว้มากมายแค่ไหน  ไม่มีใครสามารถทราบได้  ต่อเมื่อตนได้รับความเดือดร้อน ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจนั่นแหละ  จึงจะทราบได้ว่า ผลของกรรมได้ปรากฏแล้ว  เวลามีโชคลาภหรือประสบกับความสำเร็จสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนปรารถนา  ก็คิดว่าเป็นเพราะว่าตนได้ทำบุญทำทานสม่ำเสมอ  ที่จริงแล้วไม่เสมอไป  การที่ผลของบุญทานในชาตินี้  ที่ได้กระทำแล้ว จะส่งผลช้าหรือรวดเร็วนั้น  ขึ้นอยู่ที่กำลังของกรรมนั้น ๆ  ถ้าเป็นกรรมที่มีกำลังแรงมาก ก็ส่งผลในชาตินี้ได้ และอาจจะส่งผลรวดเร็วเกินคาดได้เหมือนกัน.....ฉันมีเรื่องน่าสนใจจากสมาชิกที่เมืองไทยท่านหนึ่ง  ได้เล่าให้ฟังเมื่อเร็ว ๆ นี้  เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม ซึ่งได้ส่งผลเร็วเกินคาด ฉันคิดว่าน่านำมาเขียนเล่าเป็นวิทยาทานและเป็นคติเตือนใจแก่ทุกท่านด้วยว่า การกระทำกรรมกับสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนมากได้เหมือนกัน ขึ้นชื่อว่ากระทำอกุศลกรรมย่อมนำความทุกข์มาให้ทั้งสิ้น

ครอบครัวคุณพิชัย (น้องชายของคุณอรุณ ซันทุคซีรองประธานสมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) มีบ้านอยู่ติดกับโรงงานผลิตเต้าหู้ยี้  โรงงานนี้มักจะสร้างปัญหา ให้แก่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณย่านนั้น เสมอ ๆ  เพราะเหตุว่าเต้าหู้ยี้ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนจมูกชาวบ้านเป็นประจำทุกวัน......นี่ก็เป็นอกุศลวิบากกรรมอย่างหนึ่ง คือเป็นอกุศลวิบากทางจมูก ถ้าหากว่าได้กลิ่นที่ดี  ก็เรียกว่ามีกุศลวิบากกรรมทางจมูกดี  เรื่องของวิบากกรรมไม่มีผู้ใดกำหนดได้  เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม ที่ได้กระทำไว้เรียบร้อยแล้ว  มีวิธีเดียวคือ ยอมรับตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ  ยอมรับว่า...."ทุกอย่างเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา  ไม่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้ใด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา" ถ้าฝึกสติระลึกได้เช่นนี้อยู่เนื่อง ๆ  ก็จะสามารถอยู่กับความทุกข์ได้อย่างไม่ทุกข์มากอีกต่อไป....คุณหน่อยภรรยาของคุณพิชัยได้เล่าให้ฟังว่า  ชาวบ้านแถบนั้นมีปัญหาเรื่องกลิ่นเต้าหู้ยี้รบกวนโทสะเป็นประจำยังไม่พอ  ยังต้องประสบกับปัญหาหนักเกี่ยวกับ "หนู" ทุกบ้านโดนพวกหนูแอบลักลอบ เข้ามาร่วมอยู่อาศัยด้วย  จึงต้องพากันคิดหาวิธีขับไล่หนู ๆ ทั้งหลาย ด้วยวิธีต่าง ๆ นานา  ปราบเท่าไรก็ไม่หมด ยิ่งปราบก็ยิ่งดูเหมือนว่า จะมีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่ามันแพร่พันธุ์กันอย่างรวดเร็วมาก.....วิธีปราบสัตว์บางอย่าง มนุษย์คิดว่าไม่โหดร้ายมาก  แต่ก็อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับสัตว์ตัวน้อย ๆ ก็ได้  คุณหน่อยเล่าว่า เธอได้ใช้วิธีปราบหนูด้วยการเอากาวเหนียว ๆ  ทาที่กระดาษแข็ง  แล้ววางดักไว้ตรงที่พวกหนูมันชอบออกมาปรากฏตัว มาหากินเศษของเหลือในบ้านหรือในครัว ก็แล้วแต่โอกาสจะอำนวย

การปราบหนูด้วยวิธีใช้กาวเหนียว ๆ  ฉันคิดว่าคงจะเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเหมือนกัน  แต่ว่า...คงจะโหดน่าดูเลย  ถ้าเจ้าหนูเคราะห์ร้ายเผลอไปเหยียบกาวเข้า แก่ก็ไม่มีทางเลือกเลยนะ  มีทางเดียวคือแกต้องจำนนต่อความตายอย่างแน่นอน....คุณหน่อยเล่าว่า พวกหนูมันก็เดินมาติดกาวกันเป็นแถวเลย ตั้ง ๔  ตัว  ติดหนึบเหนียวแน่นชนิดไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนตีนน้อย ๆ ของมันได้เลย  พวกครอบครัวหนูคงจะตั้งใจพากัน  ออกมาหากิน จึงออกมาจากที่หลบซ่อนกันทั้งครอบครัว แหม..ดูพวกเขามีความสุขดีเน๊าะ  ความสุขก็ไม่เที่ยง  เผลอแผล็บเดี๋ยวความสุขหายไป  กลายเป็นซวยกันหมดทั้งครอบครัว อย่างไม่น่าเชื่อ.....พอคุณหน่อยเห็นครอบครัวหนูติดกับดักเสียท่า  เธอเห็นแล้วก็เกิดความเมตตาสงสาร  แต่ว่าเมตตามาช้าไปหน่อย  เธอพยายามที่จะช่วยหนูทั้งสี่ชีวิต ให้พ้นจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน กับการจมอยู่ในกาวเพชรฆาต  เธอได้พยายามเอานิ้วมือค่อย ๆ  แกะตีนน้อย ๆ ออกจากกาวที่เหนียวเหนอะหนะ  แต่ก็สุดวิสัยจริง ๆ  ความเหนียวของกาวได้ดูดและยึดตีนของหนูพ่อแม่และลูก ๆ ไว้อย่างแน่นเฉียบ  ขณะที่คุณหน่อยพยายามจะช่วยพวกหนู ๆ ให้พ้นทุกขเวทนาอยู่นั้น พวกเขาก็ได้จ้้องมองเธอด้วยแววตาที่น่าสงสารมาก  คงจะเจ็บปวดมาก....ในที่สุดหนูทั้งสี่ชีวิตก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงสิ้นลมหายใจไปทีละตัวในที่สุด  มีหนูตัวหนึ่งคงจะเป็นพ่อหรือแม่หนูก็ไม่ทราบ  ก็เดากันเอาเองก็แล้วกันว่าใครอาฆาตมากกว่ากัน  เขาได้จ้องหน้าเขม่งมาที่คุณหน่อยด้วยแววตาที่อาฆาตมาดร้าย จนคุณหน่อยเกิดความรู้สึกกลัว ๆ จะเจอผลของกรรม  เพราะเธอเป็นผู้เจตนากระทำกรรมไว้กับพวกหนูทั้ง ๔ ตัว  หลังจากนั้นคุณหน่อยก็ได้จัดการกับซากศพของครอบครัวหนูผู้น่าสงสารเหล่านี้  ด้วยการนำไปทิ้งลงในถังขยะทันที

เหตุการณ์ตายอย่างอนาถของครอบครัวหนู ได้ผ่านไปประมาณ ๓ วันเท่านั้น  ครอบครัวของคุณหน่อยและคุณพิชัยก็ได้ประสบกับอกุศลวิบากกรรมที่ตนได้กระทำไว้......ท่านผู้อ่านค่ะ เรื่องราวต่อไปนี้ก็กำลังตื่นเต้นน่าดู  ฉันต้องขออภัยอย่างมากด้วย ที่ต้องยุติไว้แค่นี้ก่อน เพราะหมดหน้ากระดาษตามที่กำหนดไว้พอดีจ๊ะ  ....คอยติดตามอ่านตอนต่อไปอีกนะจ๊ะ