วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ท้าวนาคราชมาโปรด

ธาตุกายสิทธิ์ท้าวนาคราชพุชงค์
เรื่องเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ของพญานาคที่ฉันจะนำมาเล่าต่อไปนี้  เป็นผลของกรรมในฝ่ายกุศล คือผลของการฝึกจิตจนมีพลังสามารถสื่อกับวิญญาณได้  ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า ฉันจะเว่อร์มากไปแล้ว  ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม  ฉันไม่รับทราบด้วย  เพราะเหตุว่ามันเป็นเรื่องของ "จิต" ซึ่งเป็นธรรมชาติเป็นนามธรรม  จิตเมื่อเกิดขึ้นต้องทำกิจของเขา  จิดเกิดขึ้นทำหน้าที่คิดเรื่่องกุศลบ้างอกุศลบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วดับสืบต่อ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิตดวงใหม่ขึ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาจิตได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่ของเรา ด้วยความที่จิตยังไม่ได้รับการฝึกอบรมให้มีธรรมะ จิตก็จะชอบคิดแต่อกุศลหรือไหลตามกระแสอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ ฉะนั้นใครจะคิดอะไรก็แล้วแต่จิตของเขา

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้  เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์ตรงของฉันเอง  มีอยู่วันหนึ่งมีคนมาขอไหว้ครูบาอาจารย์  เขามากัน ๓ คน เตรียมดอกไม้ธูปเทียนมาพร้อม  เขาเพิ่งมาหาฉันเป็นครั้งแรก  ที่มาหาบ้านถูกโดยไม่หลงทาง  ก็เพราะมีเพื่อนที่รู้จักกับฉันเป็นคนพามา  พอมาถึงบ้านและได้พักเหนื่อยกันแล้ว จากนั้นเราก็เข้าห้องพระ  เพื่อสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยร่วมกัน  พอเสร็จการสวดมนต์แล้ว เราก็ได้เริ่มพิธีไหว้ครูบาอาจารย์  โดยฉันเป็นผู้ทำหน้าที่สื่อกับครูบาอาจารย์ของแต่ละคน

การสื่อกับวิญญาณโดยการกำหนดจิตนี้  ไม่เหมือนกับการเข้าทรงตามสำนักทรงทั่ว ๆ ไป เพราะไม่มีการแต่งเครื่องทรงและต้องมีการดื่มเหล้าหรือเคี้ยวหมาก ตามแต่องค์ที่มาทรงจะต้องการ วิธีสื่อด้วยทำแบบสบายไม่มีพิธีรีตรอง  ปัจจัยดอกไม้ธูปเทียนไม่มีก็ไม่เป็นไร  การสื่อมีสองลักษณะคือ การสื่อภายในแบบไม่เปิดเผยให้คนภายนอกรู้  หมายถึงฉันจะเป็นผู้ติดต่อกับครูบาอาจารย์ในโลกทิพย์  แล้วก็เล่าให้ฟังว่า ครูบาอาจารย์ท่านคือใคร ชื่ออะไร ท่านพูดอะไรบ้าง  ส่วนอีกลักษณะนั้นเป็นการสื่อแบบเปิดเผย โดยให้เขาได้คุยกับครูบาอาจารย์ด้วยตนเอง  ฉันก็จะอนุญาตให้ครูบาอาจารย์ผ่านร่างได้ชั่วขณะ  ฉันจะเป็นผู้กำหนดเวลาเองตามแต่จะต้องการ

คนที่มาขอพบครูบาอาจารย์  ส่วนใหญ่ก็จะหวังเรื่องโชคลาภ  มากกว่าเรื่องประโยชน์อย่างอื่น เช่นเรื่องการฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์  คนไม่ชอบฟังแต่ก็ต้องยอมนั่งฟัง  ครูบาอาจารย์ท่านมาโปรดลูกศิษย์ด้วยการให้ฟังธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านจะแนะนำวิธีเจริญสมาธิและเจริญสติปัฏฐานแล้วแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน  บางคนไม่สบายปวดศีรษะ ปวดกระดูก ปวดข้อเป็นเวลานาน รักษาหมดเงินมากแล้วยังไม่หาย  ท่านก็ปัดเป่าให้ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะเหตุว่าอาการที่เป็นนั้น ไม่ใช่โรคของความเสื่อมของสังขาร แต่เป็นโรคเกี่ยวกับกรรม  บางรายก็โดนวิญญาณแฝงอยู่เพราะเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืนในที่ไม่สมควร ท่านก็ทำพิธีเชิญวิญญาณออกจากร่างให้  ถ้าเป็นผีร้ายสิงก็ต้องขับไล่กันดุเดือดน่าดูเหมือนกัน แต่ก็เจอไม่บ่อยนัก

หลังจากพิธีไหว้ครูและฟังธรรมจากครูบาอาจารย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ฉันก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้สนทนาเป็นส่วนตัวกับครูบาอาจารย์  มีคนหนึ่งเขามีปัญหาเกี่ยวกับการงาน เขาต้องการจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ ในโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทใหญ่มาก  ตอนนั้นเขาเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่  จึงได้ขอให้ปู่นาคราชพุชงค์ช่วย  ท่านได้เสกบัตรประจำตัวพนักงาน  ที่เขาใช้ติดหน้าอกเวลาทำงานให้และยังรับรองด้วยนะ  ว่าจะต้องได้ทำงานประจำอย่างแน่นอน  ผู้หญิงคนนี้ตกงานบ่อยมาก  ปู่ทำพิธีสวดลงคาถาอยู่สักครู่  ไม่น่าเชื่อว่าคาถาของท่านได้ผลจริง ๆ

หลังจากนั้นแค่เดือนเดียว  เธอได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำตามที่ปู่นาคราชบอก  จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่  ปู่พุชงค์ท่านเมตตาลูกหลานมากเลย  ไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน แต่ลูกหลานส่วนใหญ่พอได้ดีแล้วมักจะลืมท่าน  พอเดือดร้อนก็มาขอให้ท่านช่วยอีก  ท่านก็ช่วยโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ  คนไม่มี "ความกตัญญูกตเวที" ย่อมเจริญยาก โดยเฉพาะทางธรรม  เขาจะไม่สามารถศึกษาธรรมะได้เลย  เพราะจิตของเขายังมืดบอดหลงอยู่ในโลกสมมติ  ไม่มีคุณธรรม

มีอีกรายหนึ่งหาเลี้ยงชีพในทางผิดศีลผิดกฏหมาย  ปู่นาคราชพุชงค์ไม่สามารถที่จะช่วยได้ เขาค้ายาเสพติดมาหลายปีแล้ว แต่ยังขาดคู่ชีวิตที่ดี เขาต้องการจะได้คู่ครองที่ดี  ปู่นาคราชบอกง่าย ๆ ว่าช่วยไม่ได้เพราะการกระทำทุกอย่างมีผล  ถ้ากระทำผิดศีลผิดกฏหมายบ้านเมือง  ก็จะได้รับอกุศลวิบากเมื่อเหตุปัจจัยที่จะส่งผลพร้อมแล้ว  ทางกฏหมายบ้านเมืองก็จะลงโทษ  ตนเองก็จะต้องเดือนร้อนทั้งกายและใจ ท่านช่วยไม่ได้  "กรรมมีผลของกรรมมี"  ในเวลาต่อมาไม่นานนัก  ฉันก็ได้ข่าวว่า เขาต้องใช้ชีวิตแบบหลบหนีตำรวจ  ในที่สุดต้องหนีกลับเมืองไทย

เรื่องการโปรดของท้าวนาคราชก็ขอจบลงเพียงแค่นี้  ยังมีอีกเยอะค่ะ เกี่ยวกับเรื่องลึกลับของโลกทิพย์  ถ้าท่านหมั่นฝึกเจริญสมาธิอยูเนื่อง ๆ  จนจิตมีพลังก็จะสามารถสัมผัสกับโลกทิพย์ได้เอง  แล้วก็จะหายสงสัยว่า "โลกลี้ลับโลกทิพย์และวิญญาณมีจริงมั้ย" เมื่อก่อนฉันก็สงสัยเช่นกัน  เกี่ยวกับเรื่อง "จิต" ก็เหมือนกัน เราควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะจิตสร้างภพชาติให้เรามาเกิดไม่รู้ว่ากี่แสนโกฏิกัป  ถ้าเราสังเกตและเรียนรู้เกี่ยวกับ "จิต" ก็จะทราบว่า  การที่กายต้องเดือดร้อนและใจต้องเศร้าหมองอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเหตุว่า "จิต"มีตัวอวิชชาคือความไม่รู้ตามความเป็นจริงของธรรมทั้งหลายที่ปรากฏขณะนี้

จิตที่ไม่ได้รับการอบรมให้มีคุณธรรม  ย่อมเป็นจิตที่เต็มไปด้วยความติดข้องต้องการและยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น  ยากแก่การเข้าถึงธรรม  ถ้าเราทุกคนพยายามฝึกอบรมจิตของตน ให้มีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะราบรื่นร่มเย็นเป็นสุข  สังคมและประเทศชาติของเราก็จะสงบร่มเย็น มีสันติสุขและมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผลกรรมทันตา

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน...วันนี้ฉันมีเรื่องตลกจะเล่าสู่กันฟัง มันเป็นเรื่องตลกที่ราคาแพงพอสมควรทีเดียว  เกิดจากการกระทำโดย "เจตนา" หรือ"จงใจ" ถ้าพูดตามหลักธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า  "กรรม" ก็คือ "เจตนาหรือจงใจ" ซึ่งเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดพร้อมกับจิตและดับพร้อมกับจิตทุกขณะ แบ่งเป็น "กุศลเจตนา" และ "อกุศลเจตนา" การกระทำใด ๆ ก็ตาม ย่อมเกิดมาจากเหตุปัจจัย และผลของการกระทำนั้น ๆ ย่อมส่งผลเมื่อเหตุปัจจัยที่จะให้ผลปรากฏพร้อมแล้ว  อนึ่งผลของกรรมมีวาระที่จะปรากฏ  ย่อมแตกต่างกันไปตามอำนาจหรือแรงกรรมนั้น ๆ  เรื่องที่จะนำมาเล่านี้ก็เป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง  เป็นอุทาหรณ์สำหรับเตือนใจ ในการกระทำในชีวิตประจำวันของปุถุชนทั่ว ๆ ไป  ถ้า "จิต" ได้รับการฝึกสติอยู่เนื่อง ๆ ความเดือดร้อนกายร้อนใจ ก็คงจะลดน้อยลงอย่างแน่นอน

เหตุการณ์ที่จะเล่านี้ ได้เกิดขึ้นหลายปีผ่านมาแล้ว  แต่ฉันก็ยังจดจำเหตุการณ์นั้นได้อย่างไม่ลืมเลือน.....เรื่องเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่งของปลายฤดูร้อน  ขณะที่เราทั้งครอบครัวกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่  ซึ่งตามปกติทุก ๆ  เช้า  เราจะเปิดเพลงบทสวดมนต์ของพระแม่กวนอิม  ทำให้จิตใจแช่มชื่นเบิกบานแต่เช้ากัน  และขณะที่นั่งรับประทานไปก็สนทนากันไปด้วย  เสียงสวดมนต์เบา ๆ  เป็นภาษาจีนไพเราะมาก จิตใจมันเบาสบาย  บรรยากาศนอกบ้านก็ดี  แดดอ่อน ๆ  ดูเย็นสบายตา ต้นไม้ในสวนรอบบ้านยังเขียวสดชื่นกลมกลืนกับพื้นหญ้าซึ่งเพิ่งตัดใหม่ ๆ  แต่ความสุขนี้ก็ปรากฏไม่นานเลย อยากจะให้มัน "สุข" อยูเช่นนั้น มันก็ฝืนกฏธรรมชาติไม่ได้

ระหว่างที่เรากำลังรับประทานอาหารกันตามสบาย ๆ   ทันใดนั้น...สามีของฉันได้เหลือบไปเห็น "แมว" ตัวหนึ่ง  ไม่ทราบว่ามาจากบ้านใครที่ไหน  มันกำลังเขี่ยดินในสวนเพื่อที่จะปลดทุกข์   แมวที่เมืองสวิตเซอร์แลนด์นี่ มันขี้อิจฉาน่าดูเลยนะ  เจ้าของมันขี้อิจฉายังไม่พอ มันคงจะติดเชื้อโรคขี้อิจฉาจากเจ้าของนั่นแหละ  พวกฝรั่งสวิสนี่แปลกอย่างหนึ่ง  เห็นชาวบ้านข้างเคียงทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย  เขาจะต้องทำตาม ๆ กัน กลัวมากกลัวว่า คนอื่นจะดีเลยหน้า  นี่พวกแมวก็เหมือนกัน บ้านตัวเองมีส้วมก็ไม่ใช้  ส้วมแมวเขามีให้โดยเฉพาะแมว  มีวัตถุสำหรับกันเหม็นให้ด้วยนะ  แต่มันคงไม่สนุกเหมือนไปเที่ยว "อึ" เที่ยว "ฉี่"  ตามสวนชาวบ้านมั้ง  บางครั้งรีบร้อนหน่อย  แกก็อึทิ้งซากไว้ใให้เราเกิดโทสะเล่น ๆ งั้นแหละ เช้าวันนั้นสามีฉันเหลือทนจริง ๆ  พอเห็นแมวหน้าด้านตัวนี้  ทำท่ากำลังจะจ่อก้นลงดิน เขารีบเปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว  มือล้วงกระเป๋ากางเกง ได้พวงกุญแจแล้วก็รีบปาไปที่แมว โดยไม่ต้องคิดอะไร  กะว่าจะไล่ให้แมวมันไปจากที่นั่น  แต่มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเลยนะ

พอมันเห็นพวงกุญแจลอยมา   มันก็หลบถอยไป แล้วก็จ้องมองพวงกุญแจอยู่ครู่หนึ่ง มันคงจะคิดก่อนนะ ว่าจะทำยังไงดี  นึกไม่ถึงว่าแมวบ้านเมืองนี้  มันฉลาดมาก ๆ  มันรี่เข้าไปที่พวงกุญแจแล้วก็ดม ๆ ดูก่อน แล้วหันมามองทางพวกเรา เสร็จแล้วก็คาบเอาพวงกุญแจวิ่งแจ้นหายริบไปอย่างรวดเร็ว  ตั้งแต่วันนั้นมา  เราก็ไม่เคยเห็นแมวตัวร้ายนั้นอีกเลยแม้แต่เงา 

กุญแจพวงนั้นเป็นกุญแจที่สำคัญด้วยซิ  รวมหลายอย่าง  กุญแจบ้านกุญแจห้องกุญแจสถานที่สำคัญ  พวกเราก็ได้แต่คิดว่า ทำยังไงดี...ก็ต้องช่วยกันหาพวงกุญแจกันรอบบ้านน่ะซิ   พวกแมวชอบมานอนเล่นที่รั้วต้นไม้ ซึ่งเป็นเขตติดกับชาวบ้าน เราก็หาตามใต้ต้นไม้ที่เป็นรั้ว  เพราะคิดว่ามันคงจะเอาไปทิ้งไว้ที่นั่น  แต่ก็ไม่เจอ  ในที่สุดต้องไปจ้างช่างตัดต้นไม้  มาตัดรั้วต้นไม้ออกหมด  เหลือแต่โคนต้นไว้ ทั้ง ๆ ที่เสียดายมาก  เพราะว่าในฤดูใบไม้ผลิ  รั้วต้นไม้นี้ จะออกดอกสีขาวเต็มไปหมด  สวยงามน่าดูมาก  แต่ทำไงได้  เราต้องยอมตัดต้นไม้รั้วทิ้งหมดเลย  แต่ก็ยังไม่เจอพวงกุญแจ  เสียเงินเปล่า

นอกจากนั้นเรายังได้รับผลข้างเคียงตามมาอีกด้วยล่ะ  คือตอนที่ไม่มีรั้วกั้นพรมแดน รู้สึกว่ามันโล่งไปหมด  เวลาอากาศดี ๆ จะออกไปทำกิจกรรมในสวนก็ไม่สะดวก  ต้องคอยดูว่าชาวบ้านเขาจะออกมานั่งในสวนมั้ย  ถ้าเขาออกมา เราก็ต้องอยู่ในบ้านกัน  ตอนนั้นสุขภาพจิตแย่ตาม ๆ กัน ถึงกับคิดจะสร้างกำแพงกั้น  จะได้ไม่ต้องมีปัญหากับแมวอีก บางครั้งแมวมันบาดเจ็บมาหา เราก็พาไปหาหมอรักษาให้  ค่ารักษาก็แพง หนักหน่อยไม่มีเจ้าของ เราก็ต้องรับไว้เลี้ยงเอง  แต่ก็ดีนะ ได้ช่วยชีวิตสัตว์  สำหรับเรื่องกุญแจนี่ หลายปีเลยกว่าจะได้คืน จนต้นไม้ที่รั้วขึ้นสูงเหมือนเดิม เป็นเวลาร่วม ๓ ปี

มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของบ้านซึ่งอยู่ถัดไปข้างล่างอีกหลัง  เขาเอาพวงกุญแจมาถามว่า ใช่ของเรามั้ย เขาเจออยู่ที่ใต้เตียงนอนของเขา ไม่รู้มันมาได้อย่างไร  เขาก็เที่ยวถามมาหลายบ้านแล้ว ยังไม่เจอเจ้าของเลย  แหม...เจ้าแมวตัวนี้มันฉลาดซ่อนของ ไม่มีใครรู้เลย บังเอิญเจ้าของ  เขาทำความสะอาดใต้เตียง  นี่ถ้าเขาทำความสะอาดบ่อย ๆ  เราก็คงจะได้คืนไปนานแล้วล่ะ....  เรื่องนี้ก็ทำให้เสียสตังค์ไปมากพอสมควร  นี่แหละผลกรรมเห็นทันตาเพราะแรงของ "เจตนากรรม" จึงได้รับผลทันทีทันตาในชาตินี้ เพราะฉะนั้น เราท่านทั้งหลาย จึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท "กรรมมี ผลของกรรมย่อมมี" ขอทุกท่านโปรดพยายามสะสมแต่กรรมดีเถิด.....สวัสดีจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ฤาษี ๑๐๘

เรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิฤิทธิ์ของปู่ฤาษีนี่มีมากมาย  เราเกิดมากหลายภพหลายชาติแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เราต้องมาเกี่ยวข้องกับปู่ฤาษีกัน  เพราะเหตุว่าบางชาติ เราอาจจะเคยเป็นฤาษีอยู่ตามถ้ำตามป่ามาแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ หรืออาจจะเคยเป็นลูกศิษย์ปู่ฤาษีก็ได้  ดังนั้นชาตินี้จึงได้มาเกี่ยวข้องกันอีก ท่านกจะคอยติดตามช่วยเหลือลูกศิษย์ของท่าน  ฉันมีประสบการณ์เกี่ยวกับปู่ฤาษีจะเล่าสู่ฟังจ๊ะ

พระธาตุปู่ฤาษี ๑๐๘
เมื่อปี ค.ศ.2008 ฉันได้รู้จักกับหลวงปู่ฤาษี ๑๐๘ โดยท่านมาเอง ท่านบอกว่าจะมาช่วยลูกหลานให้มีกินมีใช้ไม่อด ท่าแนะนำให้เรียกท่านว่า "หลวงปู่ฤาษี ๑๐๘"  ท่านไม่ใช่เป็นฤาษีธรรมดา  ท่านศึกษาพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย  มีทั้งหมด ๑๐๘ ท่าน  ตอนที่สัมผัสญาณของท่าน  รู้สึกว่าท่านมีพลังเยอะมากเป็นพิเศษ ท่านมาสอนการฝึกพลังต่าง ๆ  ให้ทั้งครอบครัว พอค่ำมาเราก็จะสวดมนต์ทำวัตรเย็นพร้อมกัน  ท่านสวดมนต์เป็นภาษาของท่านเพราะมาก คล้าย ๆ ภาษามคธ จากนั้นหลวงปู่ก็จะบรรยายธรรมะขั้นพื้นฐานให้พวกเราฟัง  จบการฟังธรรมแล้ว ก็จะมีการอธิบายเกี่ยวกับการฝึกพลังต่าง ๆ ท่านสาธิตให้ดูก่อน  ต่อจากนั้นมีการไล่เดี่ยว พอเห็นว่าพวกเราพอจะเข้าใจและสามารถฝึกได้  ท่านก็จะให้ฝึกพร้อม ๆ กัน

องค์ปู่ฤาษี ๑๐๘
การฝึกพลังปราณ  บางครั้งใช้วิธีท่องคาถาแค่สามคำสั้น ๆ  แต่ท่องหรือภาวนาแบบติดต่อกันโดยไม่หยุดหายใจ  คือกลั้นลมหายใจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้  พวกเด็ก ๆ เขาเรียนกันเร็ว  ฉันก็เป็นร่างให้ครูบาอาจารย์ใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอนในตอนภาคหัวค่ำ  พอภาคดึกหลังเที่ยงคืนถึงตีสอง จะเป็นการเรียนพิเศษของฉันส่วนตัวกับหลวงปู่  ฝึกหนักตลอดสองชั่วโมง  นั่งอยู่ในท่านเดียวตลอด  มีพลังมาก ร้อนเหงื่อชุ่มเปียกไปทั่วกายเลย  ท่านบอกว่าถ้าจะเรียนกับท่านต้องต้งใจเรียนจริง ๆ  จะได้เห็นความมหัศจรรย์ของพลัง   ทุกคนก็สนุกกับการเรียนกับหลวงปู่ฤาษี ท่านเปลี่ยนกันมาสอน  แต่ละวันจะเรียนและฝึกไม่เหมือนกัน เพราะท่านมีความสามารถแตกต่างกันตามการสะสมของท่าน  พวกเราก็ชอบเรียนตั้งใจฝึกกันจนเป็นนิสัย

องค์ปู่ฤาษี ๑๐๘
มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่แสดงปาฏิหาริย์  เช้าวันนั้นอากาศหนาวมาก เป็นฤดูใบไม้ร่วง มีหมอกลงขาวไปหมด มองไม่เห็นถนนหนทาง ต้นไม้ ภูเขาและบ้านคน ได้มีคนรู้จักกัน โทรมาบอกสามีว่า เช้านี้ให้รีบไปเก็บแอปเปิ้ลและผักที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง เจ้าของเขาไม่ต้องการ  เพราะว่าเขาพากันย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมด ทิ้งสวนผักผลไม้ไว้  ใครจะเอาก็ได้  ฟาร์มนี้ใหญ่มาก เขาปลูกผักและผลไม้ขาย ส่งตามร้านอาหารและร้านค้าตามเมืองต่าง ๆ  ฉันทราบทันทีเลยว่า เป็นเพราะหลวงปู่ฤาษีไปดลใจให้คนโทรมาบอกแน่ ๆ เลย  ลองถามท่านดู ท่านก็บอกว่าใช่  เช้านั้นเป็นเช้าที่ดีมาก ๆ เพราะว่าเริ่มต้นด้วยกุศลวิบาก เราทั้งครอบครัวได้พากันเก็บผักและผลไม้มาเก็บไว้กินระยะยาว  แอปเปิ้ลเก็บไว้กินได้ข้ามปี  ผักก็เยอะมากถึงกับแช่ตู้แช่แข็งไว้ นอกจากนั้นยังแบ่งปันคนรู้จักกันเอาไปกินด้วย

หลังจากที่สามีและลูก ๆ ได้เรียนและฝึกพลังจนเป็นที่ยอมรับของหลวงปู่แล้ว  จากนั้นก็ให้ฝึกกันเองทุกวัน  นาน ๆ ทีท่านก็มาทดสอบบ้าง เป็นการทบทวนความรู้  ท่านก็มาสั่งให้ฉันเข้ากรรมฐานแบบอุกกฤษฏ์เป็นระยะ ๆ  ครั้งละ ๒๔ ช่วโมงบ้าง ๒ วันบ้างและ ๓ วันบ้าง แล้วแต่ท่านจะสั่ง ถือศีล ๘ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์  บางคร้งจะฝึกแบบฤาษี คือรับประทานแต่ผลไม้  น้ำผลไม้  โยเกริ์ตและน้ำเปล่าเท่านั้น  ถ้ามีการเข้ากรรมฐานแบบอุกกฤษฏ์เมื่อไหร่ หลังจากนั้นก็จะมีอะไรพิเศษ มีครั้งหนึ่งท่านสั่ง ให้เตรียมดอกไม้แห้ง (ดอกไม้ที่บูชาพระแล้ว) ดินเหนียว  ซึ่งท่านจะสั่งเองว่าให้ไปเอาที่ไหนและน้ำผึ้ง ท่านบอกว่าจะมาสร้างองค์หลวงปู่ฤาษีให้ไว้แจกลูกหลาน  แล้วท่านก็เลือกวันเวลาที่จะมาทำ  บางรุ่นก็มาทำตอนดึกเพราะต้องใช้ความสงบเป็นพิเศษ แต่ละรุ่นทำไม่มากและมีความศักดิ์สิทธิ์ขลังมากเลย  มาทำให้แค่ ๔ รุ่นเท่านั้น  แต่ละครั้งก็จะมีน้องสาวฉัน  ทำหน้าที่สวดมนต์ตามที่ท่านสั่ง ว่าจะสวดกี่จบ แล้วก็นั่งทำสมาธิแผ่พลังให้ นอกจากนั้น  ยังมีการทำพิธีปลุกเสกในตอนดึกเป็นเวลาหลายคืน จนองค์ของปู่มีความขลังมากอย่างไม่น่าเชื่อแต่ก็จริงนะ


หลวงปู่ได้นำพระธาตุของหลวงปู่ฤาษี ๑๐๘ มามอบไว้ให้แจกลูกศิษย์ของท่านด้วย ฉันก็ได้แจกไปเยอะ  ถวายพระที่ไปจากเมืองไทยบ้าง  ฝากคนนำไปถวายตามวัดที่เมืองไทยก็มาก  พระธาตุของสวย ๆ ทั้งนั้น มีคุณสมบัติ ๑๐๘ สมชื่อ  มีข้อแม้อยู่ว่า ผู้ใดมีไว้บูชาผู้นั้นต้องหมั่น  ทำทาน รักษาศีล สวด
มนต์ภาวนาและฟังธรรมสม่ำเสมอ การอธิษฐานจิตจึงจะได้ผลสมปรารถนา แต่ฉันเชื่อว่าการทำสิ่งใด ๆ ย่อมมีผลทั้งสิ้น "ทำดีได้ผลดีตอบแทน ทำไม่ดีก็ย่อมได้สิ่งไม่ดีตอบแทน" มันเป็นกฏธรรมชาติตายตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าทำดีแบบมีสติปัญญาประกอบด้วย ก็จะมีผลสูงกว่านั้น  การละความไม่มีตัวตนได้นั้นเป็นประโยชน์สูงสุดของพระพุทธศาสนา  แต่สำหรับปุถุชนอย่างเราท่านทั้งหลาย ก็คงต้องสะสมปัญญาขั้นต้นทีละเล็กละน้อยไปก่อน ก็ถือว่าเป็นโชคอย่างมหันต์แล้วล่ะ  เรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฤาษี ๑๐๘ ก็ยังมีอีกเยอะ......โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

                                                        ...............................................

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิบากกรรมจากการทำแท้ง

การกระทำใด ๆ ก็ตาม  ไม่ว่ากระทำดีหรือกระทำชั่ว กระทำแบบเปิดเผยหรือแบบลับ ๆ  ย่อมมีผลทั้งสิ้น  ผลของกรรมนี้ทางธรรมะเรียกว่า "วิบากกรรม" แบ่งได้ ๒ ประเภทคือ "กุศลวิบาก" หมายถึงผลของกรรมดี (กุศลกรรม) และ"อกุศลวิบาก"  หมายถึงผลของกรรมชั่ว (อกุศลกรรม) เราท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพราะผลแห่งกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้วแต่อดีตชาติ จึงได้ปฏิสนธิในภูมิมนุษย์  การดำรงชีวิตอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความติดข้อง ในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ในแต่ละขณะจิตโดยที่มีอวิชชาเป็นมูลเหตุ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง  ของสิ่งที่ปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล เป็นเพียงสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นเพื่อให้จิตรู้แล้วก็ดับไป  เกิดขึ้นสืบต่ออย่างรวดเร็ว  เพราะความที่สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริง จิตจึงยึดว่าสิ่งต่าง ๆ  เป็นของเรา เป็นเราเห็น เราได้ยิน เรารู้รส เราได้กลิ่น เราสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เรานึกคิด เพราะเหตุว่า "อวิชชา" ไม่สามารถที่จะรู้วิชชาได้  จึงทำให้เราพากันกระทำกรรมดีบ้างกรรมชั่วบ้าง  สลับกันไปในชีวิตประจำวัน  ตราบใดที่เรายังไม่ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จิตยังไม่ได้รับการอบรมและฝึกเจริญสดิอย่างต่อเนื่อง  ปัญญาย่อมไม่เกิด เราก็เหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่ในโลกมืด  ก็ย่อมกระทำอกุศลกรรมมากขึ้นได้  เพราะจิตไม่สามารถที่จะแยกความแตกต่างของกุศลและอกุศลได้   ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด  ต้องฟังและพิจารณาจนกว่า  จะเกิดความเข้าใจอย่างมั่นคง  จึงจะเรียกว่ามี "ธรรมะเป็นที่พึ่ง" ได้

วันนี้ฉันมีเรื่องจะเล่าสู่กันฟัง  เกี่ยวกับผลกรรมหรือวิบากกรรมจากการกระทำแท้ง  เคยมีเพื่อนรุ่นน้องเขามาให้ฉันตรวจกรรมให้  เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตตนเอง  ไม่เคยประสบกับความสมหวังเลย เคยแต่งงานกับชาวสวิส เข้าโบสถ์ทำพิธีแบบฝรั่งและจัดงานเลี้ยงใหญ่โต หลังจากนั้นอยู่ด้วยกันได้สองปี  สามีก็แอบไปมีผู้หญิงไทยคนใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น สามียังหลอกให้เธอกู้เงินธนาคารร่วมกัน  ตอนหลังสามีไม่ยอมส่งดอกเบี้ยและเงินต้น อ้างว่าไม่มีเงิน  แถมยังถูกฟ้องหย่าอีก โดยที่เธอเองไม่ผิดเลย เธอต้องทำงานใช้หนีธนาคารอยู่หลายปี  แต่ก็ไม่สามารถจะชำระหนี้ได้หมดคนเดียว  เพราะมีรายได้น้อยมาก เธอทำงานโรงงานแห่งหนึ่ง เลยถูกทางธนาคารฟ้องล้มละลาย  ชีวิตเธอลำบากมาก พอหลังจากหย่ากับสามีแล้วก็ตกงาน  ต้องย้ายที่อยู่จากที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่  ก็ต้องย้ายไปอยู่อพ้าตเม้นเล็ก ๆ  ต่อมาก็เริ่มหางานใหม่ ได้งานเสริฟในร้านอาหารไทย  เธอขยันทำงานดี  จนได้เลื่อนตำแห่งเป็นหัวหน้างานฝ่ายเสริฟ  ทำงานได้ไม่นาน ก็ประสบกับความล้มเหลวอย่างรวดเร็วอีก  พร้อมกับความรักใหม่ซึ่งเธอเพิ่งจะเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันได้ไม่นานนัก  เธอมักจะโดนพวกผู้ชายที่เธอรัก  ทุบตีทุกครั้งที่มีเรื่องขัดใจกัน บางครั้งก็โดนปิดประตูบ้านไม่ให้เธอเข้าบ้านไปนอน  เธอต้องไปนอนในชั้นใต้ดิน  ที่เก็บของซึ่งหนาวเย็นและทรมานทั้งคืน เธอเป็นคนใจกว้าง

ระยะหลัง ๆ นี้  เธอชอบเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนผู้หญิงและเพื่อนผู้ชายเป็นประจำ และชอบเลี้ยงเพื่อนไม่อั้น  พอเธอตกงาน  พวกเพื่อนก็พากันเมินหน้าหนีหมด  บางครั้งดวงเธอตกต่ำมากไม่มีงานไม่มีเงินต้องกินอาหารแมว ต้องดื่มน้ำก็อก เพราะไม่มีเงินซื้อ แถมสุขภาพแย่  ป่วยเป็นโรคเนื้องอกถึงกับต้องผ่าตัด  เธอไม่มีเพื่อนไม่มีญาติเลย ฉันและสามีก็เป็นคนพาเธอไปปรึกษาหมอและยังเป็นคนเซ็นอนุญาตหมอผ่าตัดให้เธอด้วย  เวลาไปหาหมอ  ฉันก็ต้องทำหน้าที่เป็นล่ามทุกคร้งไป  เธอได้มาหาฉันที่บ้านให้ตรวจกรรม  กได้พบว่า  เธอเคยทำแท้งลูกมาแล้วถึงสองครั้ง  วิญญาณเด็กเขายังไม่ยอมไปไหน เพราะเขาอาฆาตมาก ๆ ไม่ยอมให้แม่มีความสุขเลย ไปทำงานที่ไหนแต่ละแห่ง ตอนแรก ๆ  ก็จะราบรื่นดีอยู่  แต่พอทำไปไม่นานนัก  ก็จะมีเรื่องกับผู้ร่วมงานและกับหัวหน้าหรือผู้จัดการใหญ่  จะเป็นเช่นนี้เสมอไป  ในที่สุดก็ต้องโดนไล่ออกจากงาน  มีใครมารักมาชอบเธอแต่ละคน  ก็จะทำท่าดูเหมือนว่า  จะรักจริงจัง จะมีโครงการแต่งงานใหญ่โตหรู่หรา  แต่แล้วก็ฝันสลายทุกรายไป  เธอได้พยายามทำบุญและถวายสังฆทาน  แล้วอุทิศส่วนกุศล  ให้แก่วิญญาณลูกของเธออยู่บ่อย ๆ   แต่่วิญญาณเด็กก็ยังไม่ยอมไปจากเธอ  พวกเขายังคงติดตามเธออยู่

ทุกวันนี้เธอพยายามสั่งสมบุญจากการฟังธรรมบ้าง การอ่านหนังสือธรรมะบ้าง  และทำทานบ้างตามโอกาส  แต่ชีวิตดูเหมือนว่าจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม  งานก็ไม่มีทำและอยู่คนเดียว จะกลับเมืองไทยก็ไม่มีญาติพี่น้อง  เป็นชีวิตที่ทุกข์มาก ๆ เลย  น่าสงสารมาก  ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยเขา  ให้พ้นจากทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าเรื่องวิบากกรรมนี้เป็นของเฉพาะตน ใครทำก็เป็นของคนนั้น  และเป็นผลของกรรม  ที่ได้กระทำมาแล้ว  ซึ่งอาจจะไม่ใช่เฉพาะกรรมในชาตินี้  แต่ยังมีกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วอีกในหลาย ๆ ชาติ  ซึ่งเราไม่สามารถจะทราบได้ว่า  เมื่อไรกรรมนั้นจะส่งผลในชาติใดบ้าง

เรื่องวิบากกรรมของผู้หญิงคนนี้  ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ  ให้ทุกท่านระลึกเสมอว่า "กรรมมีผลของกรรมย่อมมี"  เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะด้วยผลของกรรมดี  ผลของการรักษาศีล ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  การกระทำผิดศีลจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็มีผลทั้งสิ้น ผลจะหนักหรือเบา จะเร็วหรือช้านั้น  ขึ้นอยู่ที่เจตนาและแรงกรรมด้วย  เราไม่สามารถที่จะหนีวิบากกรรมได้เลย  นอกจากยอมรับตามความเป็นจริง  แล้วพยายามสร้างกรรมดีให้มากขึ้น  จะได้ไม่เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที  ได้มาพบพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น  "โชคลาภอันประเสริฐยิ่ง" 

ฉะนั้นการคิดที่จะทำลายชีวิตหนึ่ง  ซึ่งเป็นผลมาจากกระทำของตนนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง ควรรับผิดชอบในการกระทำของตนด้วยความยินดี  การมีคนมาเกิดด้วยถือว่า เป็นการได้โชคลาภและยังช่วยให้ชีวิตของคนๆ หนึ่งได้มีโอกาสเกิดมาสร้างบุญกุศล มากระทำสิ่งที่ดี ๆ ไว้บนโลกด้วย ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่า  ผู้ที่จะมาเกิดเป็นลูกของตนนั้น จะเป็นคนดีหรือคนเลว  เพราะขึ้นอยู่ที่วิบากกรรมของเขาเองด้วย  ถ้าเรามีชีวิตอยู่  ด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนไม่ทำลายชีวิตเขา  เราก็จะมีชีวิตที่ไม่ทุกข์มาก ไม่เดือดร้อนกายร้อนใจ  เพราะว่าไม่มีใครมาคอยติดตาม จองเวรจองกรรมกับเรา  ขอทุกท่านจงเป็นสุขด้วยการไม่เบียดเบียนเถิด

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เสวยอกุศลวิบาก

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน...วันนี้ฉันเริ่มเปิดบล็อกใหม่อีก เหตุผลคือต้องการเขียนบทความไว้เป็นที่ระลึก ครบรอบการรอดชีวิต จากการเสวยอกุศลวิบาก  เมื่อปีที่ผ่านมานี้  ตรงกับวันที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๕๓ ฉันได้ทุกข์ทรมานกับการปวดท้องอย่างหนักมาก  คิดว่าคงไม่รอดแน่  เนื่องจากเป็นนิ่วในถุงน้ำดีอักเสบ มีอาการอืดท้องแน่ท้อง และปวดท้อง ปวดขึ้นไปที่ลิ้นปี่ เสียดไปที่ชายโครงข้างขวาและปวดเสียดไปที่หลังด้วย ชอบมีอาการปวดหลังรับประทานอาหารมัน ปวดอยู่หลายชั่วโมง โดยเฉพาะชอบปวดตอนสี่ทุ่มไปจนถึงตีสอง  ต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฺฉินบ่อยมาก รวมฉุกเฉินประมาณ ๖ ครั้ง จึงได้รับการผ่าตัด กว่าจะได้ผ่าตัดก็ยุ่งยากเหลือเกิน  เพราะต้องรอหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่านิ่วในถุงน้ำดี โดยใช้กล้องส่องผ่านหน้าท้อง (Laparoscopie Chalecystectomy) หมอไปพักผ่อนต่างประเทศสองสัปดาห์ ฉันก็ต้องทนปวดท้องยืดยาวไปอีกตั้งสองสัปดาห์  จึงจะได้รับการผ่าตัด  มันเป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตของฉัน ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะไม่ทราบว่า  จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง หลังจากผ่าตัดแล้ว  ฉันเป็นคนมีโรคประจำตัวที่แย่อยู่แล้ว คือโรค SLE  จึงกลัวว่าโรคประจำตัวมันจะทำเรื่องซ้ำเติมอีก  จึงต้องมีการปรึกษากับหมอหลายฝ่ายจนแน่ใจก่อนที่จะมีการผ่าตัดผ่าตัด  

ผลการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี  พอวันรุ่งขึ้น  หมอมาเยี่ยมและเช็คดูแผลผ่าตัด  จากนั้นหมอก็ไล่กลับบ้านเลย  แหม...ดีใจที่สุดเลย ที่หมอไม่กักตัวไว โรงพยาบาลที่สวิตเซอร์แลนด์ใหญ่โตทันสมัย สะอาดและดูแลคนไข้ดีมาก  แต่คนไข้ไม่ค่อยมี  เงียบสงบดีแต่กลางคืนก็น่ากลัวนะ  กลัวว่าจะเจอแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยี่ยม  เพราะนอนคนเดียว  ห้องหนึ่งมีแค่ ๒ เตียง แต่ก็อยู่คนเดียวทุกทีที่ไปฉุกเฉิน อาหารก็ดีอยู่หรอกสำหรับพวกเขา แต่สำหรับคนไทยก็บอกตรง ๆ ว่าขืนอยู่นาน ๆ  คงได้โรคกระเพาะอีกโรคหนึ่งแน่ ๆ เลย เพราะรู้สึกว่ากินไม่ค่อยอิ่มท้อง

การผ่าตัดแบบใช้กล้องส่องผ่านทางหน้าท้อง   เป็นวิธีที่ทันสมัย  แต่ว่าค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง  แผลไม่กว้างมาก แค่อย่างมาก ๑ เซ็นติเมตร เจาะ ๔ แห่ง หลังผ่าตัดเพียงสัปดาห์เดียวก็เดินทางไปไหนไกล ๆ ได้โดยไม่มีปัญหา เรื่องอาหารการกิน ก็กินตามปกติ แต่ของหวานจัดมันจัดต้องลดลงอย่างมาก บางครั้งก็ต้องยอมอดเพื่อสุขภาพ เมื่อก่อนแกงกะทิไม่มันไม่อร่อย  ต้องมันจัด ๆ ถึงจะกิน ชอบทำขนมหวานด้วยกะทิและต้องหวานมันถึงที่ด้วยนะ  ถึงจะอร่อย  เดี๋ยวนี้เลิกคบหัวกะทิเด็ดขาด แต่ก็ยังตัดกันไม่ขาด หันมาคบหางกะทิแทน ก็ชินไปเอง  ส่วนแกงกะทิก็จะเปลี่ยนเป็นแกงน้ำมันพืชแทน แกงคั่วแห้ง  ของหวานก็ทำแบบหวานอ่อน ๆ ก็อร่อยได้เหมือนกัน  

               หลังจากผ่าตัดมาได้ ๓ สัปดาป์ นึกไม่ถึงว่าจะเจอนิ่วเล่่นงานรอบสองอีก  แบบนี้ก็มีด้วย ถุงน้ำดีถูกตัดออกไปแล้ว  แต่ทำไมอยู่ดี ๆ มันปวดท้องอาเจียน  อาการเหมือนกับที่เคยเป็นทุกอย่างเลย ปวดทั้งวันไม่มีเบรกเลย  ในที่สุดต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินอีก  ต้องไปนอนคนเดียว แถมเจอห้องเดิมอีก  งวดนี้ดูท่าเจ้ากรรมนายเวรแกเอาจริงแฮะ  ไปนอนค้างคืนหนึ่งคืนเพื่อรอเช็ค  เพราะเป็นวันเสาร์ไม่มีหมอใหญ่ตรวจ น้องสาวนอนอยู่ที่บ้าน  เขาฝันเห็นฉันเดินกลับบ้านแต่ไม่มีหัว ส่วนฉันเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาล  ก็มีเสียงคนปลุก  สั่งให้ลุกขึ้นสวดมนต์ บอกว่า "ดวงขาด ให้สวดพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรและอนัตตลักขณสูตร"  ฉันก็ลุกขึ้นมานั่งสวด  รู้สึกไม่ค่อยมีแรงจะลุกนั่ง เพราะโดนมอร์ฝีนไปเยอะมาก แก้ปวด เวลาพยาบาลฉีดมอร์ฝีนให้  เขาจะถามว่ามีความปวดขนาดไหน เขาจะบอกความปวด ค่าเป็นตัวเลข ๑-๑๐ ฉันก็จะบอกว่า ราว ๆ ๘-๙  เพราะมันปวดมากจริงๆ  บางครั้งฉีดแล้วยังปวดอยู่  เขาก็ต้องเพิ่มให้อีก 

ในที่สุดฉันก็ต้องโดนผ่าตัดอีกครั้ง  คราวนี้ใช้กล้องส่องเข้าทางปาก เพราะนิ่วแกหลุดจากถุงน้ำดีก่อนการผ่าตัดครั้งแรก ไปค้างอยู่ที่ท่อน้ำดี  เพิ่งจะมีอาการปวดอย่างกระทันหัน  การผ่าตัดแต่ละครั้งก็โชคดี ได้หมอที่เชี่ยวชาญผ่าตัดให้ อาศัยเส้นอาศัยบารมีเพื่อนของสามี  เขามีเพื่อนที่รู้จักหมอเก่ง ๆ ที่โรงพยาบาล  ก็เลยเลือกหมอได้ตามต้องการ  และนอกจากนั้นก็ยังได้รับกำลังใจจากสามี ลูก ๆ ญาติพี่น้องและเพื่อน ช่วยส่งพลังจิตไปช่วย คุณแม่และน้อง ๆ ที่เมืองไทยก็ช่วยกันทำบุญ  และปล่อยชีวิตสัตว์ให้เป็นระยะ ๆ  เป็นการไถ่บาปที่เคยฆ่าและเบียดเบียนเขา จึงได้มีวิบากกรรมหนักเช่นนี้ 

การผ่าครั้งหลังนี้สุดแสนจะทรมาน ปวดมาก ๆ เพราะไม่ได้วางยาสลบแบบหมดตัว ต้องร้องครวญครางจนหมอตกใจ  ถึงกับหยุดพักการทำงาน  แล้วก็ฉีดยาแก้ปวดให้อีก แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ทั้ง ๆ ที่ปวด  แต่ฉันก็ลืมตาดูจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาที่หมอทำงาน หลังผ่าตัดแล้วเสียเลือดมาก ถ่ายเป็นเลือดตลอดเวลาอยู่สามวัน  ต้องไปโรงพยาบาลฉุกเฉินอีกครั้ง และต้องไปส่องลำไส้อีกครั้ง โอ้ย...ยุ่งไปหมด  ขณะที่ส่องลำไส้เลือดไหลตลอดเวลา ท้องแข็งเพราะลมเต็มท้อง พอหมอเอากล้องออกจากท้อง ลมระเบิด (ผายลม) เสียงดังสนั่นห้องพร้อมกับเลือดกระเด็นถูกพยาบาลเปียกตาม ๆ กัน พื้นห้องเปียกนองไปด้วยเลือด หมอตกใจ  รีบหนีออกไปยืนสั่นอยู่นอกห้อง  หมอคงไม่เคยเจอ  เหตุการณ์ตื่นเต้นมากเช่นนี้มาก่อน ถึงได้รีบเผ่น  สักครู่หมอจึงกลับเข้าห้องไปหาฉัน  แล้วบอกว่า ผลการส่องสำไส้พบว่าที่เลือดออกไม่หยุด  เพราะว่าแผลที่ถูกตัดเอานิ่วออกยังไม่ปิด  ต้องรอสักระยะหนึ่ง มันจะหายเอง

เรื่องเกี่ยวกับ  การเสวยอกุศลวิบากของฉันก็จบลงเพียงแค่นี้  ท่านที่ชอบรับประทานของหวานจัดมันจัด โปรดระวังนะคะ จะเจอ"นิ่วในถุงน้ำดี" เล่นงานอย่างฉัน  ทางที่ดีอย่าเจอแกเลยนะ  เลิกลาความหวานความมันได้ก็สบายตัวและไม่มีแผลเป็นที่หน้าท้องด้วยจ๊ะ