วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กรรมของป้าติ่ง (ตอนที่ ๒)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หลายสัปดาห์แล้วที่ไม่ได้เขียนบทความใหม่ ๆ     แต่ก็ไม่นานจนเกินรอจ๊ะ  ยังไง ๆ  ก็ขอท่านผู้อ่านอดทนรอหน่อยนะคะ  เรื่องราวที่จะเล่ามีเยอะแยะ  แต่ฉันก็ต้องบริหารเวลาของฉันให้ถูกต้องด้วย ขืนมานั่งเสนออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ  คนรอบข้างจะเป็นโรคเหงากันหมด  เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งปันเวลาให้ทั่วถึงกัน  จะได้มีความสุขสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย.......วันนี้ก็มีเรื่องใหม่แต่เจ้าเก่าจ๊ะ

ฉันคิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักป้าติ่งจากบทความเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่อง "กรรมของป้าติ่ง"  วันนี้ก็มีเรื่องกรรมของป้าติ่งอีก  แต่เป็นคนละสาระ....เพื่อไม่ให้เสียเวลามาก  ฉันจะไม่ขอเกริ่นไตเติลน่ะ  เข้าสู่เนื้อเรื่องเลยล่ะง่ายดีเน๊าะ ......ป้าติ่งเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง  เธอเป็นคนช่างเจรจาหาเรื่องได้ทุกรูปแบบ  ส่วนใหญ่แล้วจะชอบพูดยกตนแล้วข่มผู้อื่น  จึงไม่ค่อยมีใครอยากพูดด้วย  แต่เธอก็เป็นคนมีเสน่ห์มาก ในหมู่ผู้ชาย  สมัยอยู่ที่เมืองไทย   มีหนุ่มมาติดเยอะแยะไปหมด  เธอไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมากนัก เรียนจบแค่ ป.๔  แต่ก็มีความฉลาดพอตัว  หลังจากออกจากดรงเรียนแล้ว  ก็ไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ  ไปช่วยเขาเลี้ยงเด็ก  พอเข้าวัยรุ่นก็หนีออกจากบ้านญาติไปมีสามี  มีลูกด้วยกัน ๑ คน  สามีเป็นตำรวจ  เป็นคนเจ้าชู้  ขณะที่เธอกำลังท้องแก่ใกล้จะคลอด  สามีก็มีผู้หญิงใหม่ จึงไล่เธอออกจากบ้าน แล้วเอาผู้หญิงคนใหม่มาอยู่แทน

เธอพบกับความผิดหวังอย่างแรง  ไม่มีสิทธิอะไรในตัวสามีเพราะไม่ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง  สามีได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนใหม่  ซึ่งเด็กกว่าเธอมาก  ป้าติ่งต้องหอบท้องกลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ของเธอที่บ้านนอก  พอคลอดเสร็จก็มีแฟนใหม่อีกอย่างรวดเร็ว   คราวนี้เธอคิดว่า โชคดีที่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย  สามีคนที่ ๒  ก็เป็นตำรวจเช่นกันกับคนแรก  เริ่มแรกที่อยู่ด้วยกัน  เธอบอกว่าชีวิตรักใหม่ราบรื่นดี  สามีรักเธอมาก  เอาอกเอาใจดีสม่ำเสมอ  แต่อย่างไรก็ตาม  ความรักก็มิได้อยู่เหนือวิบากกรรม  เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว  วิบากกรรมของเธอก็ส่งผล  ทำให้เธอต้องประสบกับความชีช้ำระกำใจอีกครั้งหนึ่งจนได้......ขณะกำลังท้องอ่อน ๆ  สามีเริ่มนอกใจ  เธอก็เลยนอกใจเหมือนกัน  ถ้าสามีไม่กลับบ้านตรงเวลา  เธอก็จะออกเที่ยวคลับกับเพื่อน  จนในเวลาต่อมาเธอได้รู้จักฝรั่งชาวสวิสคนหนึ่ง  เกิดความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว  ในที่สุดก็ตัดสินใจหนีตามหนุ่มสวิส  ไปทดลองอยู่ด้วยกันก่อน  ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ๓ เดือน หลังจากหมดวีซ่า  เธอก็กลับเมืองไทยเพื่อมาขอหย่ากับสามี  สามีก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังท้อง

 ส่วนหนุ่มสวิสก็ไม่รู้เหมือนกัน  ว่าสาวติ่งกำลังตั้งท้องอ่อน ๆ   เขาหลงใหลเสน่ห์ป้าติ่ง  ก็รีบตกลงแต่งงานกับเธออย่างถูกต้องตามกฏหมาย  เธอเล่าว่า  ชีวิตแต่งงานกับคนสวิสตอน ๔ ปีแรก  ก็มีความสุขดี  เพราะเธอทำหน้าที่แม่บ้านที่ดี  สามีก็รักเอาอกเอาใจดี ชี้อะไรก็เป็นอันนั้นไม่มีขัด  แถมยังเมตตารับลูกชายคนแรกของเธอเป็นลูกบุญธรรม  ส่วนลูกคนที่สองก็คลอดตามกำหนด  เป็นเด็กผู้ชายมีหน้าตาและผิวพรรณขาวเหมือนฝรั่ง  เพราะพ่อเขาเป็นคนผิวขาวและหน้าตาดี  ส่วนสามีฝรั่งก็เข้าใจว่าเด็กเกิดก่อนกำหนด

ชีวิตของป้าติ่งชอบเจออะไรที่ซ้ำ ๆ อยู่เสมอ  พอลูกชายทั้งสองโตเข้าโรงเรียนประถม  ป้าติ่งก็ไม่ค่อยมีภาระหน้าที่การงานในบ้าน  วัน ๆ  ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก  ส่วนสามีฝรั่งก็ชอบไปเล่นกีฬาในตอนเย็นหลังเลิกงาน (อาชีพช่างซ่อมเครื่องพิมพ์ดีด)  ป้าติ่งก็ออกเที่ยวกับเพื่อนชายซึ่งเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเป็นชาวอิตาเลี่ยน มีคู่หมั่นแล้ว  ในที่สุดสามีของป้าติ่งจับได้  ป้าแกก็เลยเลิกออกเที่ยว  แต่สามีของป้ากลับเปลี่ยนไป  ป้ารู้ว่าสามีไม่เหมือนเมื่อก่อน  ป้าแอบตามสอดแนมเมื่อสามีไปเล่นกีฬา  ป้าบอกว่าเสียใจมากเลย  ที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วสามีไม่ได้ไปเล่นกีฬาอย่างว่าหรอก  ไปมีนัดกับผู้หญิงอื่น  พอป้ารู้ว่าเขาเริ่มนอกใจ  ป้าก็ออกเที่ยวกับหนุ่มอิตาเลี่ยนอีก  ก็เป็นอันว่าต่างคนต่างนอกใจ

 ในที่สุดเวลาแห่งความซวยของป้าติ่งก็มาถึงอีกครั้งหนึ่งจนได้  ป้าบอกว่า ซวยหนักอย่างช่วยไม่ได้เลย  สามีฝรั่งสงสัย ว่าลูกชายคนเล็กไม่ใช่สายเลือดของเขา  จึงได้มีการตรวจเลือดกัน  ผลปรากฏว่าป้าติ่งแพ้ยับเยิน เธอโกหกสามีมาตลอด  เลยถูกฟ้องหย่า  อยู่กันมาร่วม ๒๐ ปีไม่ได้ค่าเลี้ยงดูเลย  เพราะผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง....ป้าติ่งมักจะเจอวิบากกรรมเล่นงานซ้ำ ๆ อยู่เสมอ  อยู่กับสามีแต่ละคนก็โดนสามีทำร้ายร่างกายบ่อย ๆ  เพราะว่าปากไม่สงบ  มือก็ไม่สำรวม  เวลามีเรื่องขัดแย้งกัน  ป้าติ่งก็มักจะเป็นฝ่ายทำเขาเจ็บก่อน  บางครั้งก็ขว้างมีด ขว้างไม้  อะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ ๆ มือ  ถ้าป้าแกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา  ของ
ใกล้ ๆ มือลอยไปไม่รู้ตัวได้   แล้วป้าแกก็ต้องเจ็บอย่างไม่มีทางเลี่ยง  บางครั้งโดนสามีบิดแขนจนกระดูกหัก  ต้องเข้าเฝือกเป็นเดือน  บางครั้งก็โดนหมัดจนหน้าตาบูดเบี้ยวเขียวช้ำ  แถมยังความคิดความจำเบลอหมด

 ป้าติ่งเป็นคนคุยหรือพูดอะไร ๆ  ที่ทำให้คนฟังแล้วสบายใจไม่เป็น  ใครฟังป้าติ่งพูดแล้วจะรู้สึกเครียด  บางครั้งป้าติ่งก็โดนผู้หญิงไทยด้วยกัน ตบตีกลางตลาด  บางรายแค้นจัด ถึงกับไปตบตีในบ้าน  ป้าแกโดนคนเล่นงานบ่อย ๆ   เพราะปากเป็นเหตุ  ปากของป้าติ่งสร้างแต่อกุศลกรรม  เลยทำให้เป็นคนอะไรก็ไม่สำเร็จ  ทำงานที่ไหนก้ไม่นาน ต้องโดนไล่ออก หาความเจริญไม่ได้เลย   นอกจากนั้นยังหาเพื่อนไม่ได้  ที่คบอยู่ก็ไม่ต่างกันกับแก  คือเป็นคนมีวิบากหนัก ๆ  พอกัน

หลังจากหย่ากับสามีฝรั่งเรียบร้อยแล้ว  เธอก็มีแฟนใหม่อย่างรวดเร็ว  เป็นหนุ่มสวิสรูปร่างหน้าตาดี  มีอาชีพขับรถบรรทุกสินค้า  ส่งต่างประเทศในแถบยุโรป  ตอนแรก ๆ  ก็ดูเหมือนรักกันดี  ไปไหนไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง  ป้าติ่งก็มีงานทำไม่เป็นชิ้นเป็นอัน  ตกงานอยู่บ่อย ๆ  ส่วนแฟนก็เหมือนกัน  ทำงานแต่ละแห่งไม่นานก็ถูกไล่ออก  เมื่อต่างคนต่างไม่มีรายได้ประจำเดิอน  เลยเครียดกันใหญ่   ต่างคนต่างเกี่ยงกันจ่าย  ทั้งสองคนสูบบุหรีเก่งมาก  อดอาหารได้แต่อดบุหรีไม่ได้  ขืนอดบุหรี่ต้องฆ่ากันตายแน่ ๆ  พอต่างคนต่างเครียด  ก็เริ่มมีการตบตีกันจนถึงขั้นสาหัส  หน้าตาปูดบวม ฟันหัก ปากเบี้ยว  ดูไม่ได้เลย..... ป้าติ่งเล่าว่า  เธอเป็นคนเริ่มทำเขาเจ็บก่อนทุกครั้ง  เขาก็เลยต้องป้องกันตัว  ในที่สุดก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ ถึงกระนั้นก็ยังรักกันเหมือนเดิม

มีอยู่ครั้งหนึ่งทะเลาะกันอย่างรุนแรง   นายรูดี้ (ชื่อสมมุติ) แฟนป้าติ่งโกรธจัด  ถึงกับจะฆ่าป้าติ่งให้ตาย  ป้าแกกลัวตาย  ก็เลยวิ่งออกจากบ้านไปแจ้งตำรวจ ๆ  ก็มาสอบถามชาวบ้าน ๆ  ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน  บ่อย ๆ  ก็ให้การตามความเป็นความจริง  นายรูดี้ก็เลยถูกเชิญไปนอนในห้องขัง ๑ คืน  วันรุ่งขึ้นทางตำรวจก็ออกคำสั่งเป็นทางการว่า ให้ป้าติ่งกับลุงรูดี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาด  ถ้าไม่แยกกันอยู่  ทางเจ้าของบ้านเขาไม่ให้เช่าต่อไป  เพราะชาวบ้านเขารำคาญเสียงทะเลาะกันบ่อย ๆ   แม้ว่าจะทะเลาะกัน ตีกันบ่อย ๆ  แต่ทั้งคู่ก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไปอีก  คงยังมีวิบากกรรมร่วมกันอยู่มั้ง !   ทั้งสองคนตกลงย้ายที่อยู่ใหม่  แต่เขาจะไปเช่าบ้านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว  เพราะมีประวัติไม่ดี  ไม่มีใครเขาไว้วางใจ  ทางอำเภอเลยอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่ในโกดังเก่า ๆ ของทางอำเภอ  ซึ่งเป็นสถานที่เก็บของที่เขาไม่ใช้แล้ว  ป้าแกบอกว่า ที่อยู่ใหม่นี้ ถึงจะให้อยู่ฟรี ๆ ก็ไม่อยากอยู่  แต่ก็ไม่อยากไปเช่าบ้านอยู่คนเดียว  เพราะสงสารลุงแก

ป้าเล่าว่า ที่อยู่ใหม่นี้เหมือนยังกะสถานที่เก็บศพ  เพราะมีแต่ของเก่าแก่ที่ใช้ไม่ได้ เขาเอาไปทิ้งไว้นานแล้ว  ที่แย่มาก ๆ  คือ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า  ต้องใช้ไฟตะเกียง หรือเทียนไข ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่น พอฤดูหนาวก็ต้องไปอยู่ตามร้านอาหาร  หรือตามศูนย์การค้า  น่าสงสารจัง !  ป้าติ่งเป็นคนอดทนเก่ง  แต่ลุงรูดี้แกไม่อดทนด้วย  อยู่ไม่นานถึงเดือน แกก็หนีไปมีแฟนใหม่  แกไม่มีเงินติดตัว  ก็แอบไปขโมยเครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวของป้าติ่งไปขาย  เที่ยวขโมยอยู่บ่อย ๆ  เพราะบ้านไม่มีกุญแจปิด  บางทีก็เอามาคืน ซ่อนไว้ในถังข้าวสาร  ป้าติ่งก็แจ้งตำรวจตามจับตัว  ลุงแกก็หนีหลบซ่อนเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย  ๆ  จนในที่สุดป้าติ่งพบตัวโดยบังเอิญ  ก็แอบไปชวนลุงกลับไปอยู่ด้วยกัน  ตอนนั้นป้าติ่งมีงานทำใหม่  ก็เลยมีสิทธิเช่าบ้านได้เพราะอยู่คนเดียว

 ความที่ทั้งคู่ก็ยังรักและสงสารกันอยู่  เลยตกลงกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง  แต่ลุงรูดี้แกป่วยหนัก  เพราะติดยาเสพติดมาเป็นเวลานาน  มักอารมณ์เสียและโมโหร้ายอยู่เสมอ  เพราะว่าลงแดง  ป้าติ่งเอาลุงมาเลี้ยงดูแลเหมือนลูก  แต่ก็ไม่วายที่จะต้องทะเลาะทุบตีกันเหมือนสัตว์ป่า  ลูกของป้าติ่งไม่สนใจเลยว่า แม่จะอยู่อย่างไร  เพราะไม่ชอบแฟนของแม่  ป้าติ่งก็ไม่อยากอยู่คนเดียว   ถึงจะอยู่กันอย่างทุกข์ไม่ส่างเลยแกทนได้  จนในที่สุดเมื่อ ๕ เดือนที่ผ่านมานี้  เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง  ป้าติ่งจะโดนลุงฆ่าด้วยมีด  แกเลยโทรแจ้งตำรวจให้มาจัดการลุงโดยเร็ว  เพราะป้าแกทนไม่ไหวแล้ว  ตำรวจมาด่วนเลย  พอมาถึงก็ไม่พูดอะไรมาก พูดสั้น ๆ  ว่า "จบกันที  ต่อไปนี้เธอไม่ต้องโทรอีกแล้ว"  ตำรวจคงจะเบื่อการโทรของป้าติ่ง  เพราะโทรทีไรก็เรื่องทะเลาะกันทุกที  ไม่เคยมีเรื่องอื่น  ตำรวจจับนายรูดี้ส่งเข้ารักษาตัวที่บ้านคนชรา  นับตั้งแต่นั้นมาลุงรูดี้ก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า  เพราะขาดความเป็นอิสระ  เขาอนุญาตให้ป้าติ่งไปรับรูดี้ออกนอกสถานที่ได้วันละ ๓ ชั่วโมง......

ในสัปดาห์แรก  ตอนบ่าย ๒ โมง ป้าแกก็จะไปรับลุง ไปอาบน้ำและกินข้าวที่บ้าน   เสร็จแล้วตอนเย็นก็เอาไปส่งขึ้นเตียงนอน......  หลังจากนั้นมา  ก็มีสิทธิไปเยี่ยมได้เพียงสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น  ห้ามออกนอกสถานที่  อาการซึมเศร้าของลุงรูดี้เริ่มหนักขึ้น ๆ  ทุกวันจนกลางเป็นโรคประสาท ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน  โรคอัลไซเมอรฺปรากฏ เวลาลุงออกไปเดินนอกห้องก็จะกลับห้องไม่ถูก  แกก็เที่ยวไปเปิดดูห้องโน้นห้องนี่ สร้างความตกอกตกใจให้แก่เจ้าของห้องตาม ๆ กัน  อาการหลงลืมหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว และหมอได้ให้ยาระงับประสาทแรงเกินขนาด  ทำให้ลุงรูดี้มีอาการเหมือนคนบ้าคลั่งอยู่บ่อย  ๆ  บางครั้งแกจำคนรอบข้างไม่ได้  แม้แต่ป้าติ่งเอง ลุงแกก็ยังจำได้เป็นพัก ๆ  อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ  จนต้องถูกมัดไว้บนเตียงนอน  ลุกไปไหนไม่ได้ โดนผูกมัดแขนขาติดกับเตียง ๆ  ถูกล้อมคอกเหล็กอย่างแข็งแรงเพื่อไม่ให้ปีนออกได้  ลุกนั่งก็ไม่ถนัดเพราะถูกตรึงไว้แน่น  จนกระทั่งสันหลังค่อมลง

 ป้าติ่งเล่าว่า เห็นสภาพของลุงแล้วแสนสงสาร อดที่จะร้องไห้ไม่ได้  ครั้งหลังสุดที่ป้าติ่งเห็นลุงรูดี้  ป้ารู้สึกเศร้าใจมาก คิดอยากจะเอาลุงออกจากบ้านคนชรา เอาไปปรนนิบัติเองเผื่อว่าจะหายได้  พอไปติดต่อกับผู้อำนวยการแล้ว  เขาไม่ยอมอนุญาตให้เอากลับบ้าน  เพราะเหตุว่าทางบ้านคนชราเขามีรายได้จากทางอำเภอ ซึ่งทางอำเภอจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่มีญาติ  ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ใช้บริการของบ้านคนชราที่สวิตเซอร์แลนด์แพงมาก

ลุงรูดี้ได้อยู่ที่สถานที่คนชราเป็นเวลา ๕ เดือนเต็ม ๆ  เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฏาคมที่ผ่านมานี้   เขาได้สิ้นลมหายใจเสียแล้ว โดยไม่ได้ร่ำลาแม้กระทั่งป้าติ่งคนที่เขารัก  ไม่มีใครรู้ว่าลุงจากโลกนี้ไปแต่เมื่อไร  ป้าแกก็มัวแต่ไปทำงาน  ไม่มีสังหรณ์อะไรเกิดกับป้าติ่งเลย  ตอนสายของวันนั้น เจ้าหน้าที่ของทางสถานที่คนชรา ได้เข้าไปพบศพของลุงรูดี้  จึงได้โทรแจ้งให้ป้าติ่งทราบ  ป้าแกก็รีบไปดู  แกไม่รู้จะพูดกับใคร ก็เลยโทรบอกฉันว่า  "....ลุงรู้ดี้จากพวกเราไปแล้วนะ"  พูดจบ  เธอก็ร้องไห้บ่นพร้ำเพ้อไปตามประสาคนกำลังเสียใจนั่นแหละ......ฉันก็ได้แสดงความเสียใจกับเธอ แล้วก็บอกว่า ฉันจะสวดมนต์และเจริญสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้ลุงด้วย  รู้สึกเธอพอใจ  และฉันได้บอกกับเธออีกว่า  ถ้ามีอะไรจะให้ช่วย ก็ให้บอกได้เลย  เธอขอให้ฉันและสามีไปร่วมงานเผาศพด้วย  ฉันก็รับปากเพราะคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง

 เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปเห็นวิธีการเผาศพของเมืองนอก  เขาทำพิธีง่าย ๆ  พอถึงเวลาตามที่กำหนดไว้  เจ้าหน้าที่ก็จะเคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่หน้าเตาไฟ...... พระสงฆ์ไทย ๒  รูป สวดอภิธรรมแล้วทำพิธีบังสุกุล  พอเสร็จพิธีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพและแขกที่มาร่วมงาน  นำดอกกุหลาบ (ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้) ไปวางไว้บนหลังโลงศพ  ความหมายก็คงจะเป็นการอำลาผู้ตายมั้ง !  จากนั้นก็จะเป็นนาทีระทึกใจและเศร้าใจอีกครั้งหนึ่ง  โดยเฉพาะสำหรับผู้เป็นเจ้าภาพ......เตาไฟฟ้าก็จะค่อย  ๆ  เปิดโดยอัตโนมัติ  เห็นไฟแดงจ้าในเตาสว่างมากเลย  เปลวไฟแผ่กระจายสัมผัสผิวกายร้อนตาม ๆ  กัน   โลงศพถูกยกขึ้นเหนือพื้นให้ได้ความสูงระดับเดียวกับประตูของเตาไฟ  โดยเครื่องยกอัตโนมัติ แล้วเลื่อนไปตามรางเข้าสู่เตาไฟอย่างรวดเร็ว   จากนั้นเตาไฟก็ถูกปิด เป็นเสร็จพิธี

 การได้มีโอกาสได้ไปงานศพก็ถือว่าโชคดี  เพราะว่างานเช่นนี้มีไม่บ่อยนักในกลุ่มคนไทยในต่างแดน  และได้เห็นได้รู้ว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่  เราก็จะมีสภาพไม่ต่างกันเลย  ร่างที่หมดลมหายใจใคร ๆ  ก็พากันรังเกียจ  ไม่อยากเห็นไม่อยากดู  แล้วตอนที่มีชีวิตอยู่  เราจะเกลียดชังกันไปทำไม  จะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญเสียดายเวลาที่ตอนอยู่ด้วยกัน  ไม่ทำดีต่อกัน........ ป้าติ่งแกก็ได้สำนึกในความผิดของตน  ที่ปากเสียเสมอ เอะอะก็โทรเรียกตำรวจ  ในที่สุดแกสารภาพจากใจจริงว่า  ตนเองเป็นคนส่งลุงรูดี้ไปสู่ความตายเร็วขึ้น....... ฉันก็ได้อธิบายเพื่อให้ป้าแกเข้าใจว่า  ที่จริงแล้วตามหลักธรรม  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา  ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นดังตนปรารถนาได้"  เพราะฉะนั้น  การตายของลุงรูดี้ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย  ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดผิดเลย   เมื่อป้าติ่งได้ฟังดังนั้น  ก็พอจะคลายความคิดโทษตนเองลงได้บ้าง  คนเราทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ถ้าไม่คิดปรุงแต่งให้ทุกข์ก็ไม่ทุกข์  แต่จะทำได้เช่นนั้นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ
เพื่อเป็นปัญญาขั้นต้นเสียก่อน.....เรื่องกรรมของป้าติ่งก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ

                                                               
ขออุทิศส่วนกุศลจากการเผยแพร่บทความนี้  ให้แก่สามีของป้าติ่ง  ที่เสียชีวิตเมื่อ ๒๖ ก.ค.๒๕๕๕
และขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์                                                          


                                                           ................................................