สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
หลายสัปดาห์แล้วที่ไม่ได้เขียนบทความใหม่ ๆ แต่ก็ไม่นานจนเกินรอจ๊ะ ยังไง ๆ ก็ขอท่านผู้อ่านอดทนรอหน่อยนะคะ เรื่องราวที่จะเล่ามีเยอะแยะ แต่ฉันก็ต้องบริหารเวลาของฉันให้ถูกต้องด้วย ขืนมานั่งเสนออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ คนรอบข้างจะเป็นโรคเหงากันหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งปันเวลาให้ทั่วถึงกัน จะได้มีความสุขสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย.......วันนี้ก็มีเรื่องใหม่แต่เจ้าเก่าจ๊ะ
ฉันคิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักป้าติ่งจากบทความเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่อง "กรรมของป้าติ่ง" วันนี้ก็มีเรื่องกรรมของป้าติ่งอีก แต่เป็นคนละสาระ....เพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ฉันจะไม่ขอเกริ่นไตเติลน่ะ เข้าสู่เนื้อเรื่องเลยล่ะง่ายดีเน๊าะ ......ป้าติ่งเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง เธอเป็นคนช่างเจรจาหาเรื่องได้ทุกรูปแบบ ส่วนใหญ่แล้วจะชอบพูดยกตนแล้วข่มผู้อื่น จึงไม่ค่อยมีใครอยากพูดด้วย แต่เธอก็เป็นคนมีเสน่ห์มาก ในหมู่ผู้ชาย สมัยอยู่ที่เมืองไทย มีหนุ่มมาติดเยอะแยะไปหมด เธอไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมากนัก เรียนจบแค่ ป.๔ แต่ก็มีความฉลาดพอตัว หลังจากออกจากดรงเรียนแล้ว ก็ไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ไปช่วยเขาเลี้ยงเด็ก พอเข้าวัยรุ่นก็หนีออกจากบ้านญาติไปมีสามี มีลูกด้วยกัน ๑ คน สามีเป็นตำรวจ เป็นคนเจ้าชู้ ขณะที่เธอกำลังท้องแก่ใกล้จะคลอด สามีก็มีผู้หญิงใหม่ จึงไล่เธอออกจากบ้าน แล้วเอาผู้หญิงคนใหม่มาอยู่แทน
เธอพบกับความผิดหวังอย่างแรง ไม่มีสิทธิอะไรในตัวสามีเพราะไม่ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง สามีได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งเด็กกว่าเธอมาก ป้าติ่งต้องหอบท้องกลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ของเธอที่บ้านนอก พอคลอดเสร็จก็มีแฟนใหม่อีกอย่างรวดเร็ว คราวนี้เธอคิดว่า โชคดีที่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย สามีคนที่ ๒ ก็เป็นตำรวจเช่นกันกับคนแรก เริ่มแรกที่อยู่ด้วยกัน เธอบอกว่าชีวิตรักใหม่ราบรื่นดี สามีรักเธอมาก เอาอกเอาใจดีสม่ำเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ความรักก็มิได้อยู่เหนือวิบากกรรม เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว วิบากกรรมของเธอก็ส่งผล ทำให้เธอต้องประสบกับความชีช้ำระกำใจอีกครั้งหนึ่งจนได้......ขณะกำลังท้องอ่อน ๆ สามีเริ่มนอกใจ เธอก็เลยนอกใจเหมือนกัน ถ้าสามีไม่กลับบ้านตรงเวลา เธอก็จะออกเที่ยวคลับกับเพื่อน จนในเวลาต่อมาเธอได้รู้จักฝรั่งชาวสวิสคนหนึ่ง เกิดความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจหนีตามหนุ่มสวิส ไปทดลองอยู่ด้วยกันก่อน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ๓ เดือน หลังจากหมดวีซ่า เธอก็กลับเมืองไทยเพื่อมาขอหย่ากับสามี สามีก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังท้อง
ส่วนหนุ่มสวิสก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสาวติ่งกำลังตั้งท้องอ่อน ๆ เขาหลงใหลเสน่ห์ป้าติ่ง ก็รีบตกลงแต่งงานกับเธออย่างถูกต้องตามกฏหมาย เธอเล่าว่า ชีวิตแต่งงานกับคนสวิสตอน ๔ ปีแรก ก็มีความสุขดี เพราะเธอทำหน้าที่แม่บ้านที่ดี สามีก็รักเอาอกเอาใจดี ชี้อะไรก็เป็นอันนั้นไม่มีขัด แถมยังเมตตารับลูกชายคนแรกของเธอเป็นลูกบุญธรรม ส่วนลูกคนที่สองก็คลอดตามกำหนด เป็นเด็กผู้ชายมีหน้าตาและผิวพรรณขาวเหมือนฝรั่ง เพราะพ่อเขาเป็นคนผิวขาวและหน้าตาดี ส่วนสามีฝรั่งก็เข้าใจว่าเด็กเกิดก่อนกำหนด
ชีวิตของป้าติ่งชอบเจออะไรที่ซ้ำ ๆ อยู่เสมอ พอลูกชายทั้งสองโตเข้าโรงเรียนประถม ป้าติ่งก็ไม่ค่อยมีภาระหน้าที่การงานในบ้าน วัน ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ส่วนสามีฝรั่งก็ชอบไปเล่นกีฬาในตอนเย็นหลังเลิกงาน (อาชีพช่างซ่อมเครื่องพิมพ์ดีด) ป้าติ่งก็ออกเที่ยวกับเพื่อนชายซึ่งเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเป็นชาวอิตาเลี่ยน มีคู่หมั่นแล้ว ในที่สุดสามีของป้าติ่งจับได้ ป้าแกก็เลยเลิกออกเที่ยว แต่สามีของป้ากลับเปลี่ยนไป ป้ารู้ว่าสามีไม่เหมือนเมื่อก่อน ป้าแอบตามสอดแนมเมื่อสามีไปเล่นกีฬา ป้าบอกว่าเสียใจมากเลย ที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วสามีไม่ได้ไปเล่นกีฬาอย่างว่าหรอก ไปมีนัดกับผู้หญิงอื่น พอป้ารู้ว่าเขาเริ่มนอกใจ ป้าก็ออกเที่ยวกับหนุ่มอิตาเลี่ยนอีก ก็เป็นอันว่าต่างคนต่างนอกใจ
ในที่สุดเวลาแห่งความซวยของป้าติ่งก็มาถึงอีกครั้งหนึ่งจนได้ ป้าบอกว่า ซวยหนักอย่างช่วยไม่ได้เลย สามีฝรั่งสงสัย ว่าลูกชายคนเล็กไม่ใช่สายเลือดของเขา จึงได้มีการตรวจเลือดกัน ผลปรากฏว่าป้าติ่งแพ้ยับเยิน เธอโกหกสามีมาตลอด เลยถูกฟ้องหย่า อยู่กันมาร่วม ๒๐ ปีไม่ได้ค่าเลี้ยงดูเลย เพราะผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง....ป้าติ่งมักจะเจอวิบากกรรมเล่นงานซ้ำ ๆ อยู่เสมอ อยู่กับสามีแต่ละคนก็โดนสามีทำร้ายร่างกายบ่อย ๆ เพราะว่าปากไม่สงบ มือก็ไม่สำรวม เวลามีเรื่องขัดแย้งกัน ป้าติ่งก็มักจะเป็นฝ่ายทำเขาเจ็บก่อน บางครั้งก็ขว้างมีด ขว้างไม้ อะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ ๆ มือ ถ้าป้าแกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ของ
ใกล้ ๆ มือลอยไปไม่รู้ตัวได้ แล้วป้าแกก็ต้องเจ็บอย่างไม่มีทางเลี่ยง บางครั้งโดนสามีบิดแขนจนกระดูกหัก ต้องเข้าเฝือกเป็นเดือน บางครั้งก็โดนหมัดจนหน้าตาบูดเบี้ยวเขียวช้ำ แถมยังความคิดความจำเบลอหมด
ป้าติ่งเป็นคนคุยหรือพูดอะไร ๆ ที่ทำให้คนฟังแล้วสบายใจไม่เป็น ใครฟังป้าติ่งพูดแล้วจะรู้สึกเครียด บางครั้งป้าติ่งก็โดนผู้หญิงไทยด้วยกัน ตบตีกลางตลาด บางรายแค้นจัด ถึงกับไปตบตีในบ้าน ป้าแกโดนคนเล่นงานบ่อย ๆ เพราะปากเป็นเหตุ ปากของป้าติ่งสร้างแต่อกุศลกรรม เลยทำให้เป็นคนอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำงานที่ไหนก้ไม่นาน ต้องโดนไล่ออก หาความเจริญไม่ได้เลย นอกจากนั้นยังหาเพื่อนไม่ได้ ที่คบอยู่ก็ไม่ต่างกันกับแก คือเป็นคนมีวิบากหนัก ๆ พอกัน
หลังจากหย่ากับสามีฝรั่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็มีแฟนใหม่อย่างรวดเร็ว เป็นหนุ่มสวิสรูปร่างหน้าตาดี มีอาชีพขับรถบรรทุกสินค้า ส่งต่างประเทศในแถบยุโรป ตอนแรก ๆ ก็ดูเหมือนรักกันดี ไปไหนไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง ป้าติ่งก็มีงานทำไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตกงานอยู่บ่อย ๆ ส่วนแฟนก็เหมือนกัน ทำงานแต่ละแห่งไม่นานก็ถูกไล่ออก เมื่อต่างคนต่างไม่มีรายได้ประจำเดิอน เลยเครียดกันใหญ่ ต่างคนต่างเกี่ยงกันจ่าย ทั้งสองคนสูบบุหรีเก่งมาก อดอาหารได้แต่อดบุหรีไม่ได้ ขืนอดบุหรี่ต้องฆ่ากันตายแน่ ๆ พอต่างคนต่างเครียด ก็เริ่มมีการตบตีกันจนถึงขั้นสาหัส หน้าตาปูดบวม ฟันหัก ปากเบี้ยว ดูไม่ได้เลย..... ป้าติ่งเล่าว่า เธอเป็นคนเริ่มทำเขาเจ็บก่อนทุกครั้ง เขาก็เลยต้องป้องกันตัว ในที่สุดก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ ถึงกระนั้นก็ยังรักกันเหมือนเดิม
มีอยู่ครั้งหนึ่งทะเลาะกันอย่างรุนแรง นายรูดี้ (ชื่อสมมุติ) แฟนป้าติ่งโกรธจัด ถึงกับจะฆ่าป้าติ่งให้ตาย ป้าแกกลัวตาย ก็เลยวิ่งออกจากบ้านไปแจ้งตำรวจ ๆ ก็มาสอบถามชาวบ้าน ๆ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน บ่อย ๆ ก็ให้การตามความเป็นความจริง นายรูดี้ก็เลยถูกเชิญไปนอนในห้องขัง ๑ คืน วันรุ่งขึ้นทางตำรวจก็ออกคำสั่งเป็นทางการว่า ให้ป้าติ่งกับลุงรูดี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาด ถ้าไม่แยกกันอยู่ ทางเจ้าของบ้านเขาไม่ให้เช่าต่อไป เพราะชาวบ้านเขารำคาญเสียงทะเลาะกันบ่อย ๆ แม้ว่าจะทะเลาะกัน ตีกันบ่อย ๆ แต่ทั้งคู่ก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไปอีก คงยังมีวิบากกรรมร่วมกันอยู่มั้ง ! ทั้งสองคนตกลงย้ายที่อยู่ใหม่ แต่เขาจะไปเช่าบ้านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีประวัติไม่ดี ไม่มีใครเขาไว้วางใจ ทางอำเภอเลยอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่ในโกดังเก่า ๆ ของทางอำเภอ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บของที่เขาไม่ใช้แล้ว ป้าแกบอกว่า ที่อยู่ใหม่นี้ ถึงจะให้อยู่ฟรี ๆ ก็ไม่อยากอยู่ แต่ก็ไม่อยากไปเช่าบ้านอยู่คนเดียว เพราะสงสารลุงแก
ป้าเล่าว่า ที่อยู่ใหม่นี้เหมือนยังกะสถานที่เก็บศพ เพราะมีแต่ของเก่าแก่ที่ใช้ไม่ได้ เขาเอาไปทิ้งไว้นานแล้ว ที่แย่มาก ๆ คือ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ไฟตะเกียง หรือเทียนไข ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่น พอฤดูหนาวก็ต้องไปอยู่ตามร้านอาหาร หรือตามศูนย์การค้า น่าสงสารจัง ! ป้าติ่งเป็นคนอดทนเก่ง แต่ลุงรูดี้แกไม่อดทนด้วย อยู่ไม่นานถึงเดือน แกก็หนีไปมีแฟนใหม่ แกไม่มีเงินติดตัว ก็แอบไปขโมยเครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวของป้าติ่งไปขาย เที่ยวขโมยอยู่บ่อย ๆ เพราะบ้านไม่มีกุญแจปิด บางทีก็เอามาคืน ซ่อนไว้ในถังข้าวสาร ป้าติ่งก็แจ้งตำรวจตามจับตัว ลุงแกก็หนีหลบซ่อนเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดป้าติ่งพบตัวโดยบังเอิญ ก็แอบไปชวนลุงกลับไปอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นป้าติ่งมีงานทำใหม่ ก็เลยมีสิทธิเช่าบ้านได้เพราะอยู่คนเดียว
ความที่ทั้งคู่ก็ยังรักและสงสารกันอยู่ เลยตกลงกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ลุงรูดี้แกป่วยหนัก เพราะติดยาเสพติดมาเป็นเวลานาน มักอารมณ์เสียและโมโหร้ายอยู่เสมอ เพราะว่าลงแดง ป้าติ่งเอาลุงมาเลี้ยงดูแลเหมือนลูก แต่ก็ไม่วายที่จะต้องทะเลาะทุบตีกันเหมือนสัตว์ป่า ลูกของป้าติ่งไม่สนใจเลยว่า แม่จะอยู่อย่างไร เพราะไม่ชอบแฟนของแม่ ป้าติ่งก็ไม่อยากอยู่คนเดียว ถึงจะอยู่กันอย่างทุกข์ไม่ส่างเลยแกทนได้ จนในที่สุดเมื่อ ๕ เดือนที่ผ่านมานี้ เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ป้าติ่งจะโดนลุงฆ่าด้วยมีด แกเลยโทรแจ้งตำรวจให้มาจัดการลุงโดยเร็ว เพราะป้าแกทนไม่ไหวแล้ว ตำรวจมาด่วนเลย พอมาถึงก็ไม่พูดอะไรมาก พูดสั้น ๆ ว่า "จบกันที ต่อไปนี้เธอไม่ต้องโทรอีกแล้ว" ตำรวจคงจะเบื่อการโทรของป้าติ่ง เพราะโทรทีไรก็เรื่องทะเลาะกันทุกที ไม่เคยมีเรื่องอื่น ตำรวจจับนายรูดี้ส่งเข้ารักษาตัวที่บ้านคนชรา นับตั้งแต่นั้นมาลุงรูดี้ก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า เพราะขาดความเป็นอิสระ เขาอนุญาตให้ป้าติ่งไปรับรูดี้ออกนอกสถานที่ได้วันละ ๓ ชั่วโมง......
ในสัปดาห์แรก ตอนบ่าย ๒ โมง ป้าแกก็จะไปรับลุง ไปอาบน้ำและกินข้าวที่บ้าน เสร็จแล้วตอนเย็นก็เอาไปส่งขึ้นเตียงนอน...... หลังจากนั้นมา ก็มีสิทธิไปเยี่ยมได้เพียงสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น ห้ามออกนอกสถานที่ อาการซึมเศร้าของลุงรูดี้เริ่มหนักขึ้น ๆ ทุกวันจนกลางเป็นโรคประสาท ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน โรคอัลไซเมอรฺปรากฏ เวลาลุงออกไปเดินนอกห้องก็จะกลับห้องไม่ถูก แกก็เที่ยวไปเปิดดูห้องโน้นห้องนี่ สร้างความตกอกตกใจให้แก่เจ้าของห้องตาม ๆ กัน อาการหลงลืมหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว และหมอได้ให้ยาระงับประสาทแรงเกินขนาด ทำให้ลุงรูดี้มีอาการเหมือนคนบ้าคลั่งอยู่บ่อย ๆ บางครั้งแกจำคนรอบข้างไม่ได้ แม้แต่ป้าติ่งเอง ลุงแกก็ยังจำได้เป็นพัก ๆ อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องถูกมัดไว้บนเตียงนอน ลุกไปไหนไม่ได้ โดนผูกมัดแขนขาติดกับเตียง ๆ ถูกล้อมคอกเหล็กอย่างแข็งแรงเพื่อไม่ให้ปีนออกได้ ลุกนั่งก็ไม่ถนัดเพราะถูกตรึงไว้แน่น จนกระทั่งสันหลังค่อมลง
ป้าติ่งเล่าว่า เห็นสภาพของลุงแล้วแสนสงสาร อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ครั้งหลังสุดที่ป้าติ่งเห็นลุงรูดี้ ป้ารู้สึกเศร้าใจมาก คิดอยากจะเอาลุงออกจากบ้านคนชรา เอาไปปรนนิบัติเองเผื่อว่าจะหายได้ พอไปติดต่อกับผู้อำนวยการแล้ว เขาไม่ยอมอนุญาตให้เอากลับบ้าน เพราะเหตุว่าทางบ้านคนชราเขามีรายได้จากทางอำเภอ ซึ่งทางอำเภอจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่มีญาติ ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ใช้บริการของบ้านคนชราที่สวิตเซอร์แลนด์แพงมาก
ลุงรูดี้ได้อยู่ที่สถานที่คนชราเป็นเวลา ๕ เดือนเต็ม ๆ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฏาคมที่ผ่านมานี้ เขาได้สิ้นลมหายใจเสียแล้ว โดยไม่ได้ร่ำลาแม้กระทั่งป้าติ่งคนที่เขารัก ไม่มีใครรู้ว่าลุงจากโลกนี้ไปแต่เมื่อไร ป้าแกก็มัวแต่ไปทำงาน ไม่มีสังหรณ์อะไรเกิดกับป้าติ่งเลย ตอนสายของวันนั้น เจ้าหน้าที่ของทางสถานที่คนชรา ได้เข้าไปพบศพของลุงรูดี้ จึงได้โทรแจ้งให้ป้าติ่งทราบ ป้าแกก็รีบไปดู แกไม่รู้จะพูดกับใคร ก็เลยโทรบอกฉันว่า "....ลุงรู้ดี้จากพวกเราไปแล้วนะ" พูดจบ เธอก็ร้องไห้บ่นพร้ำเพ้อไปตามประสาคนกำลังเสียใจนั่นแหละ......ฉันก็ได้แสดงความเสียใจกับเธอ แล้วก็บอกว่า ฉันจะสวดมนต์และเจริญสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้ลุงด้วย รู้สึกเธอพอใจ และฉันได้บอกกับเธออีกว่า ถ้ามีอะไรจะให้ช่วย ก็ให้บอกได้เลย เธอขอให้ฉันและสามีไปร่วมงานเผาศพด้วย ฉันก็รับปากเพราะคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปเห็นวิธีการเผาศพของเมืองนอก เขาทำพิธีง่าย ๆ พอถึงเวลาตามที่กำหนดไว้ เจ้าหน้าที่ก็จะเคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่หน้าเตาไฟ...... พระสงฆ์ไทย ๒ รูป สวดอภิธรรมแล้วทำพิธีบังสุกุล พอเสร็จพิธีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพและแขกที่มาร่วมงาน นำดอกกุหลาบ (ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้) ไปวางไว้บนหลังโลงศพ ความหมายก็คงจะเป็นการอำลาผู้ตายมั้ง ! จากนั้นก็จะเป็นนาทีระทึกใจและเศร้าใจอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้เป็นเจ้าภาพ......เตาไฟฟ้าก็จะค่อย ๆ เปิดโดยอัตโนมัติ เห็นไฟแดงจ้าในเตาสว่างมากเลย เปลวไฟแผ่กระจายสัมผัสผิวกายร้อนตาม ๆ กัน โลงศพถูกยกขึ้นเหนือพื้นให้ได้ความสูงระดับเดียวกับประตูของเตาไฟ โดยเครื่องยกอัตโนมัติ แล้วเลื่อนไปตามรางเข้าสู่เตาไฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นเตาไฟก็ถูกปิด เป็นเสร็จพิธี
การได้มีโอกาสได้ไปงานศพก็ถือว่าโชคดี เพราะว่างานเช่นนี้มีไม่บ่อยนักในกลุ่มคนไทยในต่างแดน และได้เห็นได้รู้ว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ เราก็จะมีสภาพไม่ต่างกันเลย ร่างที่หมดลมหายใจใคร ๆ ก็พากันรังเกียจ ไม่อยากเห็นไม่อยากดู แล้วตอนที่มีชีวิตอยู่ เราจะเกลียดชังกันไปทำไม จะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญเสียดายเวลาที่ตอนอยู่ด้วยกัน ไม่ทำดีต่อกัน........ ป้าติ่งแกก็ได้สำนึกในความผิดของตน ที่ปากเสียเสมอ เอะอะก็โทรเรียกตำรวจ ในที่สุดแกสารภาพจากใจจริงว่า ตนเองเป็นคนส่งลุงรูดี้ไปสู่ความตายเร็วขึ้น....... ฉันก็ได้อธิบายเพื่อให้ป้าแกเข้าใจว่า ที่จริงแล้วตามหลักธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นดังตนปรารถนาได้" เพราะฉะนั้น การตายของลุงรูดี้ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดผิดเลย เมื่อป้าติ่งได้ฟังดังนั้น ก็พอจะคลายความคิดโทษตนเองลงได้บ้าง คนเราทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ถ้าไม่คิดปรุงแต่งให้ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ แต่จะทำได้เช่นนั้นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ
เพื่อเป็นปัญญาขั้นต้นเสียก่อน.....เรื่องกรรมของป้าติ่งก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ
ขออุทิศส่วนกุศลจากการเผยแพร่บทความนี้ ให้แก่สามีของป้าติ่ง ที่เสียชีวิตเมื่อ ๒๖ ก.ค.๒๕๕๕
และขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
................................................
หลายสัปดาห์แล้วที่ไม่ได้เขียนบทความใหม่ ๆ แต่ก็ไม่นานจนเกินรอจ๊ะ ยังไง ๆ ก็ขอท่านผู้อ่านอดทนรอหน่อยนะคะ เรื่องราวที่จะเล่ามีเยอะแยะ แต่ฉันก็ต้องบริหารเวลาของฉันให้ถูกต้องด้วย ขืนมานั่งเสนออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ คนรอบข้างจะเป็นโรคเหงากันหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งปันเวลาให้ทั่วถึงกัน จะได้มีความสุขสบายใจด้วยกันทุกฝ่าย.......วันนี้ก็มีเรื่องใหม่แต่เจ้าเก่าจ๊ะ
ฉันคิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักป้าติ่งจากบทความเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่อง "กรรมของป้าติ่ง" วันนี้ก็มีเรื่องกรรมของป้าติ่งอีก แต่เป็นคนละสาระ....เพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ฉันจะไม่ขอเกริ่นไตเติลน่ะ เข้าสู่เนื้อเรื่องเลยล่ะง่ายดีเน๊าะ ......ป้าติ่งเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง เธอเป็นคนช่างเจรจาหาเรื่องได้ทุกรูปแบบ ส่วนใหญ่แล้วจะชอบพูดยกตนแล้วข่มผู้อื่น จึงไม่ค่อยมีใครอยากพูดด้วย แต่เธอก็เป็นคนมีเสน่ห์มาก ในหมู่ผู้ชาย สมัยอยู่ที่เมืองไทย มีหนุ่มมาติดเยอะแยะไปหมด เธอไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมากนัก เรียนจบแค่ ป.๔ แต่ก็มีความฉลาดพอตัว หลังจากออกจากดรงเรียนแล้ว ก็ไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ไปช่วยเขาเลี้ยงเด็ก พอเข้าวัยรุ่นก็หนีออกจากบ้านญาติไปมีสามี มีลูกด้วยกัน ๑ คน สามีเป็นตำรวจ เป็นคนเจ้าชู้ ขณะที่เธอกำลังท้องแก่ใกล้จะคลอด สามีก็มีผู้หญิงใหม่ จึงไล่เธอออกจากบ้าน แล้วเอาผู้หญิงคนใหม่มาอยู่แทน
เธอพบกับความผิดหวังอย่างแรง ไม่มีสิทธิอะไรในตัวสามีเพราะไม่ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง สามีได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งเด็กกว่าเธอมาก ป้าติ่งต้องหอบท้องกลับไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ของเธอที่บ้านนอก พอคลอดเสร็จก็มีแฟนใหม่อีกอย่างรวดเร็ว คราวนี้เธอคิดว่า โชคดีที่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย สามีคนที่ ๒ ก็เป็นตำรวจเช่นกันกับคนแรก เริ่มแรกที่อยู่ด้วยกัน เธอบอกว่าชีวิตรักใหม่ราบรื่นดี สามีรักเธอมาก เอาอกเอาใจดีสม่ำเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ความรักก็มิได้อยู่เหนือวิบากกรรม เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว วิบากกรรมของเธอก็ส่งผล ทำให้เธอต้องประสบกับความชีช้ำระกำใจอีกครั้งหนึ่งจนได้......ขณะกำลังท้องอ่อน ๆ สามีเริ่มนอกใจ เธอก็เลยนอกใจเหมือนกัน ถ้าสามีไม่กลับบ้านตรงเวลา เธอก็จะออกเที่ยวคลับกับเพื่อน จนในเวลาต่อมาเธอได้รู้จักฝรั่งชาวสวิสคนหนึ่ง เกิดความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจหนีตามหนุ่มสวิส ไปทดลองอยู่ด้วยกันก่อน ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ๓ เดือน หลังจากหมดวีซ่า เธอก็กลับเมืองไทยเพื่อมาขอหย่ากับสามี สามีก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังท้อง
ส่วนหนุ่มสวิสก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสาวติ่งกำลังตั้งท้องอ่อน ๆ เขาหลงใหลเสน่ห์ป้าติ่ง ก็รีบตกลงแต่งงานกับเธออย่างถูกต้องตามกฏหมาย เธอเล่าว่า ชีวิตแต่งงานกับคนสวิสตอน ๔ ปีแรก ก็มีความสุขดี เพราะเธอทำหน้าที่แม่บ้านที่ดี สามีก็รักเอาอกเอาใจดี ชี้อะไรก็เป็นอันนั้นไม่มีขัด แถมยังเมตตารับลูกชายคนแรกของเธอเป็นลูกบุญธรรม ส่วนลูกคนที่สองก็คลอดตามกำหนด เป็นเด็กผู้ชายมีหน้าตาและผิวพรรณขาวเหมือนฝรั่ง เพราะพ่อเขาเป็นคนผิวขาวและหน้าตาดี ส่วนสามีฝรั่งก็เข้าใจว่าเด็กเกิดก่อนกำหนด
ชีวิตของป้าติ่งชอบเจออะไรที่ซ้ำ ๆ อยู่เสมอ พอลูกชายทั้งสองโตเข้าโรงเรียนประถม ป้าติ่งก็ไม่ค่อยมีภาระหน้าที่การงานในบ้าน วัน ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก ส่วนสามีฝรั่งก็ชอบไปเล่นกีฬาในตอนเย็นหลังเลิกงาน (อาชีพช่างซ่อมเครื่องพิมพ์ดีด) ป้าติ่งก็ออกเที่ยวกับเพื่อนชายซึ่งเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเป็นชาวอิตาเลี่ยน มีคู่หมั่นแล้ว ในที่สุดสามีของป้าติ่งจับได้ ป้าแกก็เลยเลิกออกเที่ยว แต่สามีของป้ากลับเปลี่ยนไป ป้ารู้ว่าสามีไม่เหมือนเมื่อก่อน ป้าแอบตามสอดแนมเมื่อสามีไปเล่นกีฬา ป้าบอกว่าเสียใจมากเลย ที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วสามีไม่ได้ไปเล่นกีฬาอย่างว่าหรอก ไปมีนัดกับผู้หญิงอื่น พอป้ารู้ว่าเขาเริ่มนอกใจ ป้าก็ออกเที่ยวกับหนุ่มอิตาเลี่ยนอีก ก็เป็นอันว่าต่างคนต่างนอกใจ
ในที่สุดเวลาแห่งความซวยของป้าติ่งก็มาถึงอีกครั้งหนึ่งจนได้ ป้าบอกว่า ซวยหนักอย่างช่วยไม่ได้เลย สามีฝรั่งสงสัย ว่าลูกชายคนเล็กไม่ใช่สายเลือดของเขา จึงได้มีการตรวจเลือดกัน ผลปรากฏว่าป้าติ่งแพ้ยับเยิน เธอโกหกสามีมาตลอด เลยถูกฟ้องหย่า อยู่กันมาร่วม ๒๐ ปีไม่ได้ค่าเลี้ยงดูเลย เพราะผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง....ป้าติ่งมักจะเจอวิบากกรรมเล่นงานซ้ำ ๆ อยู่เสมอ อยู่กับสามีแต่ละคนก็โดนสามีทำร้ายร่างกายบ่อย ๆ เพราะว่าปากไม่สงบ มือก็ไม่สำรวม เวลามีเรื่องขัดแย้งกัน ป้าติ่งก็มักจะเป็นฝ่ายทำเขาเจ็บก่อน บางครั้งก็ขว้างมีด ขว้างไม้ อะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ ๆ มือ ถ้าป้าแกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ของ
ใกล้ ๆ มือลอยไปไม่รู้ตัวได้ แล้วป้าแกก็ต้องเจ็บอย่างไม่มีทางเลี่ยง บางครั้งโดนสามีบิดแขนจนกระดูกหัก ต้องเข้าเฝือกเป็นเดือน บางครั้งก็โดนหมัดจนหน้าตาบูดเบี้ยวเขียวช้ำ แถมยังความคิดความจำเบลอหมด
ป้าติ่งเป็นคนคุยหรือพูดอะไร ๆ ที่ทำให้คนฟังแล้วสบายใจไม่เป็น ใครฟังป้าติ่งพูดแล้วจะรู้สึกเครียด บางครั้งป้าติ่งก็โดนผู้หญิงไทยด้วยกัน ตบตีกลางตลาด บางรายแค้นจัด ถึงกับไปตบตีในบ้าน ป้าแกโดนคนเล่นงานบ่อย ๆ เพราะปากเป็นเหตุ ปากของป้าติ่งสร้างแต่อกุศลกรรม เลยทำให้เป็นคนอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำงานที่ไหนก้ไม่นาน ต้องโดนไล่ออก หาความเจริญไม่ได้เลย นอกจากนั้นยังหาเพื่อนไม่ได้ ที่คบอยู่ก็ไม่ต่างกันกับแก คือเป็นคนมีวิบากหนัก ๆ พอกัน
หลังจากหย่ากับสามีฝรั่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็มีแฟนใหม่อย่างรวดเร็ว เป็นหนุ่มสวิสรูปร่างหน้าตาดี มีอาชีพขับรถบรรทุกสินค้า ส่งต่างประเทศในแถบยุโรป ตอนแรก ๆ ก็ดูเหมือนรักกันดี ไปไหนไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง ป้าติ่งก็มีงานทำไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตกงานอยู่บ่อย ๆ ส่วนแฟนก็เหมือนกัน ทำงานแต่ละแห่งไม่นานก็ถูกไล่ออก เมื่อต่างคนต่างไม่มีรายได้ประจำเดิอน เลยเครียดกันใหญ่ ต่างคนต่างเกี่ยงกันจ่าย ทั้งสองคนสูบบุหรีเก่งมาก อดอาหารได้แต่อดบุหรีไม่ได้ ขืนอดบุหรี่ต้องฆ่ากันตายแน่ ๆ พอต่างคนต่างเครียด ก็เริ่มมีการตบตีกันจนถึงขั้นสาหัส หน้าตาปูดบวม ฟันหัก ปากเบี้ยว ดูไม่ได้เลย..... ป้าติ่งเล่าว่า เธอเป็นคนเริ่มทำเขาเจ็บก่อนทุกครั้ง เขาก็เลยต้องป้องกันตัว ในที่สุดก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ ถึงกระนั้นก็ยังรักกันเหมือนเดิม
มีอยู่ครั้งหนึ่งทะเลาะกันอย่างรุนแรง นายรูดี้ (ชื่อสมมุติ) แฟนป้าติ่งโกรธจัด ถึงกับจะฆ่าป้าติ่งให้ตาย ป้าแกกลัวตาย ก็เลยวิ่งออกจากบ้านไปแจ้งตำรวจ ๆ ก็มาสอบถามชาวบ้าน ๆ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน บ่อย ๆ ก็ให้การตามความเป็นความจริง นายรูดี้ก็เลยถูกเชิญไปนอนในห้องขัง ๑ คืน วันรุ่งขึ้นทางตำรวจก็ออกคำสั่งเป็นทางการว่า ให้ป้าติ่งกับลุงรูดี้แยกกันอยู่อย่างเด็ดขาด ถ้าไม่แยกกันอยู่ ทางเจ้าของบ้านเขาไม่ให้เช่าต่อไป เพราะชาวบ้านเขารำคาญเสียงทะเลาะกันบ่อย ๆ แม้ว่าจะทะเลาะกัน ตีกันบ่อย ๆ แต่ทั้งคู่ก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไปอีก คงยังมีวิบากกรรมร่วมกันอยู่มั้ง ! ทั้งสองคนตกลงย้ายที่อยู่ใหม่ แต่เขาจะไปเช่าบ้านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีประวัติไม่ดี ไม่มีใครเขาไว้วางใจ ทางอำเภอเลยอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่ในโกดังเก่า ๆ ของทางอำเภอ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บของที่เขาไม่ใช้แล้ว ป้าแกบอกว่า ที่อยู่ใหม่นี้ ถึงจะให้อยู่ฟรี ๆ ก็ไม่อยากอยู่ แต่ก็ไม่อยากไปเช่าบ้านอยู่คนเดียว เพราะสงสารลุงแก
ป้าเล่าว่า ที่อยู่ใหม่นี้เหมือนยังกะสถานที่เก็บศพ เพราะมีแต่ของเก่าแก่ที่ใช้ไม่ได้ เขาเอาไปทิ้งไว้นานแล้ว ที่แย่มาก ๆ คือ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ไฟตะเกียง หรือเทียนไข ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่น พอฤดูหนาวก็ต้องไปอยู่ตามร้านอาหาร หรือตามศูนย์การค้า น่าสงสารจัง ! ป้าติ่งเป็นคนอดทนเก่ง แต่ลุงรูดี้แกไม่อดทนด้วย อยู่ไม่นานถึงเดือน แกก็หนีไปมีแฟนใหม่ แกไม่มีเงินติดตัว ก็แอบไปขโมยเครื่องประดับ เครื่องใช้ในครัวของป้าติ่งไปขาย เที่ยวขโมยอยู่บ่อย ๆ เพราะบ้านไม่มีกุญแจปิด บางทีก็เอามาคืน ซ่อนไว้ในถังข้าวสาร ป้าติ่งก็แจ้งตำรวจตามจับตัว ลุงแกก็หนีหลบซ่อนเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดป้าติ่งพบตัวโดยบังเอิญ ก็แอบไปชวนลุงกลับไปอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นป้าติ่งมีงานทำใหม่ ก็เลยมีสิทธิเช่าบ้านได้เพราะอยู่คนเดียว
ความที่ทั้งคู่ก็ยังรักและสงสารกันอยู่ เลยตกลงกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง แต่ลุงรูดี้แกป่วยหนัก เพราะติดยาเสพติดมาเป็นเวลานาน มักอารมณ์เสียและโมโหร้ายอยู่เสมอ เพราะว่าลงแดง ป้าติ่งเอาลุงมาเลี้ยงดูแลเหมือนลูก แต่ก็ไม่วายที่จะต้องทะเลาะทุบตีกันเหมือนสัตว์ป่า ลูกของป้าติ่งไม่สนใจเลยว่า แม่จะอยู่อย่างไร เพราะไม่ชอบแฟนของแม่ ป้าติ่งก็ไม่อยากอยู่คนเดียว ถึงจะอยู่กันอย่างทุกข์ไม่ส่างเลยแกทนได้ จนในที่สุดเมื่อ ๕ เดือนที่ผ่านมานี้ เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ป้าติ่งจะโดนลุงฆ่าด้วยมีด แกเลยโทรแจ้งตำรวจให้มาจัดการลุงโดยเร็ว เพราะป้าแกทนไม่ไหวแล้ว ตำรวจมาด่วนเลย พอมาถึงก็ไม่พูดอะไรมาก พูดสั้น ๆ ว่า "จบกันที ต่อไปนี้เธอไม่ต้องโทรอีกแล้ว" ตำรวจคงจะเบื่อการโทรของป้าติ่ง เพราะโทรทีไรก็เรื่องทะเลาะกันทุกที ไม่เคยมีเรื่องอื่น ตำรวจจับนายรูดี้ส่งเข้ารักษาตัวที่บ้านคนชรา นับตั้งแต่นั้นมาลุงรูดี้ก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า เพราะขาดความเป็นอิสระ เขาอนุญาตให้ป้าติ่งไปรับรูดี้ออกนอกสถานที่ได้วันละ ๓ ชั่วโมง......
ในสัปดาห์แรก ตอนบ่าย ๒ โมง ป้าแกก็จะไปรับลุง ไปอาบน้ำและกินข้าวที่บ้าน เสร็จแล้วตอนเย็นก็เอาไปส่งขึ้นเตียงนอน...... หลังจากนั้นมา ก็มีสิทธิไปเยี่ยมได้เพียงสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น ห้ามออกนอกสถานที่ อาการซึมเศร้าของลุงรูดี้เริ่มหนักขึ้น ๆ ทุกวันจนกลางเป็นโรคประสาท ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน โรคอัลไซเมอรฺปรากฏ เวลาลุงออกไปเดินนอกห้องก็จะกลับห้องไม่ถูก แกก็เที่ยวไปเปิดดูห้องโน้นห้องนี่ สร้างความตกอกตกใจให้แก่เจ้าของห้องตาม ๆ กัน อาการหลงลืมหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว และหมอได้ให้ยาระงับประสาทแรงเกินขนาด ทำให้ลุงรูดี้มีอาการเหมือนคนบ้าคลั่งอยู่บ่อย ๆ บางครั้งแกจำคนรอบข้างไม่ได้ แม้แต่ป้าติ่งเอง ลุงแกก็ยังจำได้เป็นพัก ๆ อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องถูกมัดไว้บนเตียงนอน ลุกไปไหนไม่ได้ โดนผูกมัดแขนขาติดกับเตียง ๆ ถูกล้อมคอกเหล็กอย่างแข็งแรงเพื่อไม่ให้ปีนออกได้ ลุกนั่งก็ไม่ถนัดเพราะถูกตรึงไว้แน่น จนกระทั่งสันหลังค่อมลง
ป้าติ่งเล่าว่า เห็นสภาพของลุงแล้วแสนสงสาร อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ครั้งหลังสุดที่ป้าติ่งเห็นลุงรูดี้ ป้ารู้สึกเศร้าใจมาก คิดอยากจะเอาลุงออกจากบ้านคนชรา เอาไปปรนนิบัติเองเผื่อว่าจะหายได้ พอไปติดต่อกับผู้อำนวยการแล้ว เขาไม่ยอมอนุญาตให้เอากลับบ้าน เพราะเหตุว่าทางบ้านคนชราเขามีรายได้จากทางอำเภอ ซึ่งทางอำเภอจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่มีญาติ ค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ใช้บริการของบ้านคนชราที่สวิตเซอร์แลนด์แพงมาก
ลุงรูดี้ได้อยู่ที่สถานที่คนชราเป็นเวลา ๕ เดือนเต็ม ๆ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฏาคมที่ผ่านมานี้ เขาได้สิ้นลมหายใจเสียแล้ว โดยไม่ได้ร่ำลาแม้กระทั่งป้าติ่งคนที่เขารัก ไม่มีใครรู้ว่าลุงจากโลกนี้ไปแต่เมื่อไร ป้าแกก็มัวแต่ไปทำงาน ไม่มีสังหรณ์อะไรเกิดกับป้าติ่งเลย ตอนสายของวันนั้น เจ้าหน้าที่ของทางสถานที่คนชรา ได้เข้าไปพบศพของลุงรูดี้ จึงได้โทรแจ้งให้ป้าติ่งทราบ ป้าแกก็รีบไปดู แกไม่รู้จะพูดกับใคร ก็เลยโทรบอกฉันว่า "....ลุงรู้ดี้จากพวกเราไปแล้วนะ" พูดจบ เธอก็ร้องไห้บ่นพร้ำเพ้อไปตามประสาคนกำลังเสียใจนั่นแหละ......ฉันก็ได้แสดงความเสียใจกับเธอ แล้วก็บอกว่า ฉันจะสวดมนต์และเจริญสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้ลุงด้วย รู้สึกเธอพอใจ และฉันได้บอกกับเธออีกว่า ถ้ามีอะไรจะให้ช่วย ก็ให้บอกได้เลย เธอขอให้ฉันและสามีไปร่วมงานเผาศพด้วย ฉันก็รับปากเพราะคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปเห็นวิธีการเผาศพของเมืองนอก เขาทำพิธีง่าย ๆ พอถึงเวลาตามที่กำหนดไว้ เจ้าหน้าที่ก็จะเคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่หน้าเตาไฟ...... พระสงฆ์ไทย ๒ รูป สวดอภิธรรมแล้วทำพิธีบังสุกุล พอเสร็จพิธีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพและแขกที่มาร่วมงาน นำดอกกุหลาบ (ที่เจ้าภาพเตรียมไว้ให้) ไปวางไว้บนหลังโลงศพ ความหมายก็คงจะเป็นการอำลาผู้ตายมั้ง ! จากนั้นก็จะเป็นนาทีระทึกใจและเศร้าใจอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้เป็นเจ้าภาพ......เตาไฟฟ้าก็จะค่อย ๆ เปิดโดยอัตโนมัติ เห็นไฟแดงจ้าในเตาสว่างมากเลย เปลวไฟแผ่กระจายสัมผัสผิวกายร้อนตาม ๆ กัน โลงศพถูกยกขึ้นเหนือพื้นให้ได้ความสูงระดับเดียวกับประตูของเตาไฟ โดยเครื่องยกอัตโนมัติ แล้วเลื่อนไปตามรางเข้าสู่เตาไฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นเตาไฟก็ถูกปิด เป็นเสร็จพิธี
การได้มีโอกาสได้ไปงานศพก็ถือว่าโชคดี เพราะว่างานเช่นนี้มีไม่บ่อยนักในกลุ่มคนไทยในต่างแดน และได้เห็นได้รู้ว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ เราก็จะมีสภาพไม่ต่างกันเลย ร่างที่หมดลมหายใจใคร ๆ ก็พากันรังเกียจ ไม่อยากเห็นไม่อยากดู แล้วตอนที่มีชีวิตอยู่ เราจะเกลียดชังกันไปทำไม จะมานั่งร้องไห้คร่ำครวญเสียดายเวลาที่ตอนอยู่ด้วยกัน ไม่ทำดีต่อกัน........ ป้าติ่งแกก็ได้สำนึกในความผิดของตน ที่ปากเสียเสมอ เอะอะก็โทรเรียกตำรวจ ในที่สุดแกสารภาพจากใจจริงว่า ตนเองเป็นคนส่งลุงรูดี้ไปสู่ความตายเร็วขึ้น....... ฉันก็ได้อธิบายเพื่อให้ป้าแกเข้าใจว่า ที่จริงแล้วตามหลักธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นดังตนปรารถนาได้" เพราะฉะนั้น การตายของลุงรูดี้ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดผิดเลย เมื่อป้าติ่งได้ฟังดังนั้น ก็พอจะคลายความคิดโทษตนเองลงได้บ้าง คนเราทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ถ้าไม่คิดปรุงแต่งให้ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ แต่จะทำได้เช่นนั้นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ
เพื่อเป็นปัญญาขั้นต้นเสียก่อน.....เรื่องกรรมของป้าติ่งก็จบโดยสมบูรณ์เพียงแค่นี้จ๊ะ
ขออุทิศส่วนกุศลจากการเผยแพร่บทความนี้ ให้แก่สามีของป้าติ่ง ที่เสียชีวิตเมื่อ ๒๖ ก.ค.๒๕๕๕
และขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์
................................................