สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ..... ช่วงนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศเริ่มเย็นในตอนเช้า ๆ มีหมอกปกคลุมขาวไปหมด เป็นเมืองในหมอก เพราะจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง.....วันนี้มีเรื่องจะเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ
เรื่องนี้เกิดกับตัวฉันเองเมื่อสามปีมาแล้ว....มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิบากในฝ่ายอกุศล ซึ่งไม่มีทางเลี่ยงได้เลย.....สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน.....กรรมใดใครก่อ ผลของกรรมย่อมเป็นของผู้นั้นอย่างแน่นอน....เรามีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ หนีไม่พ้นกรรมเลยนะคะ.....อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด....สามปีผ่านมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่ลืมเลือนเลย....ฉันชอบตื่นแต่เช้า ไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์คนเดียวบนภูเขาใกล้ ๆ บ้าน เป็นประจำทุกวัน....บางวันก็ไปยืนคุยกับวัว พอเขาเห็นฉันเดินเขาไปใกล้ ๆ เขาก็จะพากันเดินเข้ามาหา บนภูเขาที่นั่น มีวัวของชาวนา เป็นสิบ ๆ ตัว เขาปล่อยไว้กลางแจ้ง.....บางวันพวกวัวเขาก็เป็นมิตรดี บางวันพอเข้าไปใกล้หน่อย ทำเป็นร้องกลัวเรา พากันเมินหน้าแล้วก็เดินหนีไป (ทุกอย่างเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้).....บรรยากาศตอนเช้า ๆ เย็นสบายสดชื่น ฉันออกเดินทุกวันจนเป็นนิสัย เดินสวดมนต์ไปด้วยเพื่อให้จิตเป็นกุศล แล้วก็พิจารณาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นการเจริญกรรมฐานอยู่เนื่อง ๆ ดีกว่าหายใจทิ้งเปล่า ๆ บางวันก็ไม่เจอคนเลยสักคน เพราะเช้าเกิน เขายังไม่ตื่นกัน......ฉันต้องเดินตอนเช้าเพราะว่าต้องการรับพลังจักรวาล.....ร่างกายกจะได้แข็งแรงดี จิตใจก็ปลอดโปร่ง....
เช้าวันหนึ่งฉันรู้สึกลังเลใจมาก ไม่รู้จะเลือกเดินถนนสายไหนดี จะออกเดินเริ่มจากทางซ้ายไปขวาหรือจะเดินจากทางขวาไปซ้ายดี รู้สึกว่าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ส่วนมากแล้วพอจะออกเดินก็เดินไปเลย ไม่มีการคิดจะเลือกเส้นทาง วิธีเดินของฉันก็คือจะเดินไม่ย้อนกลับ เพราะถนนมีรอบบ้าน จะเดินไปทางไหนก็ไม่ต้องย้อนกลับ.....เช้านี้หันหน้าหันหลังอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจิตบอกว่า ไปทางซ้ายแล้วอ้อมกลับทางขวาก็แล้วกัน.....พอเดินไปสุดถนนโค้งจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เป็นหลังสุดท้าย....วันนี้เจ้าของบ้านตื่นเช้ากว่าปรกติ ฉันเดินมาหลายวันแล้วก็เพิ่งเจอวันนี้ เขายืนคุยกับคนรู้จักกันอยู่ที่หน้าบ้าน..... ตามมารยาทของคนสวิสก็จะต้อง มีการกล่าวสวัสดีกัน ฉันก็หันไปกล่าวสวัสดีพวกเขา แล้วก็เดินต่อไปตามปรกติ.....ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง "โฮ้ง ๆ ๆ " อยู่ด้านหลังฉัน......ฉันก็รีบหยุดเดินทันที ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ว่าจิตเขาสั่งให้หยุดเดิน ยืนนิ่งด้วยความสงบ....พอสิ้นเสียงสุนัขเห่าเท่านั้นแหละ เร็วเหลือเกินแทบตั้งตัวไม่ติดพื้น ได้ยินเสียงฝีตีนของสุนัข กระโจนแค่สองครั้งเท่านั้น.....กระโดดตะปบที่ไหล่ข้างซ้ายของฉันอย่างแรงแถบจะล้มทั้งยืน ตัวมันหนักมาก (ยังไม่เห็นตัวกันเลย) ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันทีเดียว....ขณะนั้นจิตก็คิดว่า "เจ้าสุนัขเอ๋ย ถ้าเราไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก่อน เจ้าก็อย่าได้ทำอะไรข้าเลย ถ้าหากข้าเคยทำกรรมกับเจ้ามาก่อน ก็เชิญเจ้าตามสบายเถิด" นี่ถ้าฉันมีอกุศลวิบากหนัก ฉันคงโดนเจ้าสุนัขขย้ำหน้าเละไปเสี้ยวหนึ่งแล้วล่ะ....แต่นี่แกไม่ทำอะไรมากไปกว่าการเอาลิ้นออกมาเลียที่ใบหูเรา.......ส่วนเจ้าของสุนัขนั้น เขาอยู่ระหว่างช๊อค คงจะยืนตลึงสักครู่หนึ่ง แล้วจึงวิ่งมาที่ฉัน ทำเป็นดุด่าสุนัขว่าทำไมทำอย่างนั้น....เขาก็กล่าวขอโทษแทนสุนัข...ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก
เหตุการณ์เช่นนี้มันไม่เกิดบ่อย ๆ ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด......ฉันคงจะเคยทำกรรมกับสุนัขมาก่อนแน่ ๆ เลย คงจะเคยแกล้งทำให้เขากลัวมาก.....เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดกับคนสวิส เขาก็คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับแจ้งตำรวจจับ เรียกค่าทำขวัญกัน ทำให้เจ้าของสุนัขต้องเดือดร้อนเสียเงินเสียชื่อเสียงอีกด้วย เพราะตามกฏหมาย เจ้าของสุนัขที่พาสุนัขไปเดินนอกบ้าน จะต้องมีเชือกล่ามสุนัขไว้ตลอด นอกจากไปในที่ที่ไม่มีผู้คน กรณีนี้เจ้าของสุนับเขาคงจะคิดว่ายังเช้ามากอยู่ ไม่มีคนเดิน เขาจึงไม่ได้สนใจที่จะล่ามเชือกไว้ แต่ฉันก็ไม่โกรธเขาหรอก เพราะคิดว่ามันเป็นวิบากของตนเอง ทุกวันไม่ออกเดินสายนี้ จะเป็นแค่ทางกลับ พอเดินก็ได้เรื่องเลย.....นี่ถ้าฉันไม่เคยเจริญสติมาก่อน มาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็คงต้องวิ่งหนีแน่ ๆ พอวิ่งหนีเมื่อไหร่ สุนัขแกก็จะคิดว่าเราหนีแก ๆ ก็จะยิ่งมีกำลังโกรธมากขึ้น....."สติ" เท่านั้นที่จะเป็นอาวุธป้องกันภัยในทุก ๆ ทีได้ค่ะ....."สติ" กั้นกระแสกิเลสทั้งปวง.....เรื่องนี้เป็นไงบ้างค่ะ ถ้าท่านผู้อ่านเจอเหตุการณ์อย่างฉัน ท่านจะรู้สึกอย่างไร.....ทางที่ดีที่สุด.....ควรเริ่มฝึกเจริญสติเพื่อเป็นอาวุธป้องกันภัยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไปนะคะ
.....................................................
เรื่องนี้เกิดกับตัวฉันเองเมื่อสามปีมาแล้ว....มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิบากในฝ่ายอกุศล ซึ่งไม่มีทางเลี่ยงได้เลย.....สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน.....กรรมใดใครก่อ ผลของกรรมย่อมเป็นของผู้นั้นอย่างแน่นอน....เรามีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ หนีไม่พ้นกรรมเลยนะคะ.....อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด....สามปีผ่านมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่ลืมเลือนเลย....ฉันชอบตื่นแต่เช้า ไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์คนเดียวบนภูเขาใกล้ ๆ บ้าน เป็นประจำทุกวัน....บางวันก็ไปยืนคุยกับวัว พอเขาเห็นฉันเดินเขาไปใกล้ ๆ เขาก็จะพากันเดินเข้ามาหา บนภูเขาที่นั่น มีวัวของชาวนา เป็นสิบ ๆ ตัว เขาปล่อยไว้กลางแจ้ง.....บางวันพวกวัวเขาก็เป็นมิตรดี บางวันพอเข้าไปใกล้หน่อย ทำเป็นร้องกลัวเรา พากันเมินหน้าแล้วก็เดินหนีไป (ทุกอย่างเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้).....บรรยากาศตอนเช้า ๆ เย็นสบายสดชื่น ฉันออกเดินทุกวันจนเป็นนิสัย เดินสวดมนต์ไปด้วยเพื่อให้จิตเป็นกุศล แล้วก็พิจารณาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นการเจริญกรรมฐานอยู่เนื่อง ๆ ดีกว่าหายใจทิ้งเปล่า ๆ บางวันก็ไม่เจอคนเลยสักคน เพราะเช้าเกิน เขายังไม่ตื่นกัน......ฉันต้องเดินตอนเช้าเพราะว่าต้องการรับพลังจักรวาล.....ร่างกายกจะได้แข็งแรงดี จิตใจก็ปลอดโปร่ง....
เช้าวันหนึ่งฉันรู้สึกลังเลใจมาก ไม่รู้จะเลือกเดินถนนสายไหนดี จะออกเดินเริ่มจากทางซ้ายไปขวาหรือจะเดินจากทางขวาไปซ้ายดี รู้สึกว่าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ส่วนมากแล้วพอจะออกเดินก็เดินไปเลย ไม่มีการคิดจะเลือกเส้นทาง วิธีเดินของฉันก็คือจะเดินไม่ย้อนกลับ เพราะถนนมีรอบบ้าน จะเดินไปทางไหนก็ไม่ต้องย้อนกลับ.....เช้านี้หันหน้าหันหลังอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจิตบอกว่า ไปทางซ้ายแล้วอ้อมกลับทางขวาก็แล้วกัน.....พอเดินไปสุดถนนโค้งจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เป็นหลังสุดท้าย....วันนี้เจ้าของบ้านตื่นเช้ากว่าปรกติ ฉันเดินมาหลายวันแล้วก็เพิ่งเจอวันนี้ เขายืนคุยกับคนรู้จักกันอยู่ที่หน้าบ้าน..... ตามมารยาทของคนสวิสก็จะต้อง มีการกล่าวสวัสดีกัน ฉันก็หันไปกล่าวสวัสดีพวกเขา แล้วก็เดินต่อไปตามปรกติ.....ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง "โฮ้ง ๆ ๆ " อยู่ด้านหลังฉัน......ฉันก็รีบหยุดเดินทันที ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ว่าจิตเขาสั่งให้หยุดเดิน ยืนนิ่งด้วยความสงบ....พอสิ้นเสียงสุนัขเห่าเท่านั้นแหละ เร็วเหลือเกินแทบตั้งตัวไม่ติดพื้น ได้ยินเสียงฝีตีนของสุนัข กระโจนแค่สองครั้งเท่านั้น.....กระโดดตะปบที่ไหล่ข้างซ้ายของฉันอย่างแรงแถบจะล้มทั้งยืน ตัวมันหนักมาก (ยังไม่เห็นตัวกันเลย) ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันทีเดียว....ขณะนั้นจิตก็คิดว่า "เจ้าสุนัขเอ๋ย ถ้าเราไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก่อน เจ้าก็อย่าได้ทำอะไรข้าเลย ถ้าหากข้าเคยทำกรรมกับเจ้ามาก่อน ก็เชิญเจ้าตามสบายเถิด" นี่ถ้าฉันมีอกุศลวิบากหนัก ฉันคงโดนเจ้าสุนัขขย้ำหน้าเละไปเสี้ยวหนึ่งแล้วล่ะ....แต่นี่แกไม่ทำอะไรมากไปกว่าการเอาลิ้นออกมาเลียที่ใบหูเรา.......ส่วนเจ้าของสุนัขนั้น เขาอยู่ระหว่างช๊อค คงจะยืนตลึงสักครู่หนึ่ง แล้วจึงวิ่งมาที่ฉัน ทำเป็นดุด่าสุนัขว่าทำไมทำอย่างนั้น....เขาก็กล่าวขอโทษแทนสุนัข...ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก
เหตุการณ์เช่นนี้มันไม่เกิดบ่อย ๆ ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด......ฉันคงจะเคยทำกรรมกับสุนัขมาก่อนแน่ ๆ เลย คงจะเคยแกล้งทำให้เขากลัวมาก.....เหตุการณ์เช่นนี้ถ้าเกิดกับคนสวิส เขาก็คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับแจ้งตำรวจจับ เรียกค่าทำขวัญกัน ทำให้เจ้าของสุนัขต้องเดือดร้อนเสียเงินเสียชื่อเสียงอีกด้วย เพราะตามกฏหมาย เจ้าของสุนัขที่พาสุนัขไปเดินนอกบ้าน จะต้องมีเชือกล่ามสุนัขไว้ตลอด นอกจากไปในที่ที่ไม่มีผู้คน กรณีนี้เจ้าของสุนับเขาคงจะคิดว่ายังเช้ามากอยู่ ไม่มีคนเดิน เขาจึงไม่ได้สนใจที่จะล่ามเชือกไว้ แต่ฉันก็ไม่โกรธเขาหรอก เพราะคิดว่ามันเป็นวิบากของตนเอง ทุกวันไม่ออกเดินสายนี้ จะเป็นแค่ทางกลับ พอเดินก็ได้เรื่องเลย.....นี่ถ้าฉันไม่เคยเจริญสติมาก่อน มาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็คงต้องวิ่งหนีแน่ ๆ พอวิ่งหนีเมื่อไหร่ สุนัขแกก็จะคิดว่าเราหนีแก ๆ ก็จะยิ่งมีกำลังโกรธมากขึ้น....."สติ" เท่านั้นที่จะเป็นอาวุธป้องกันภัยในทุก ๆ ทีได้ค่ะ....."สติ" กั้นกระแสกิเลสทั้งปวง.....เรื่องนี้เป็นไงบ้างค่ะ ถ้าท่านผู้อ่านเจอเหตุการณ์อย่างฉัน ท่านจะรู้สึกอย่างไร.....ทางที่ดีที่สุด.....ควรเริ่มฝึกเจริญสติเพื่อเป็นอาวุธป้องกันภัยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไปนะคะ
.....................................................