สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกนี้ ท่านไม่มีการติชมกันอย่างเปิดเผย ก็ไม่เป็นไรจ๊ะ แต่ฉันก็ได้กำลังใจจากท่านผู้อ่านมากทีเดียว ทำให้ต้องขยันส่งบทความบ่อย ๆ ถึงแม้ว่าบางครั้งได้หายเงียบไป แต่ก็ไม่นานเกินรอ.....
วันนี้ฉันได้ขึ้นชื่อเรื่องไว้ว่า "กรรมของผู้หญิงชื่อน้อย" ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเป็นเรื่องไม่เหมือนใคร ไม่รู้น่ะ....ท่านอ่านกันแล้วอาจจะว่าไม่น่าสน เราก็ไม่ว่ากัน เพราะเหตุว่าแต่ละคนมีจิตที่วิจิตรแตกต่างกันตามการสะสมของตน.....ชีวิตคนเราวันหนึ่ง ๆ ไม่พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสบ้าง เป็นทาสของความคิดบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นจึงหนีไม่พ้นความทุกข์....ทุกข์กายยังรักษาได้ด้วยหยูกยา แต่ความทุกข์ใจนี่ซิ ยากแก่การเยียวยารักษา ไม่มีหมอที่ไหนช่วยรักษาหรือผ่าตัดให้ได้ นอกจากต้องเป็นหมอเอง ก่อนที่จะสามารถรักษาโรคจิตของตนได้นั้น ก็ต้องร่ำเรียนมากทีเดียว จนสามารถรู้วิธีใช้เภสัชขนานต่าง ๆ ได้ถูกต้องกับโรค.....โรคทางใจบางอย่างดื้อยา จนกลายเป็นชนิดเรื้อรังก็มี.... ใจหรือจิตนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าใจสร้างกรรมก็ทำให้เป็นโรคกรรม แต่ตัวกรรมจริง ๆ นั้นอยู่ที่ "เจตนา" เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต หมายถึงความจงใจ ตั้งใจ กระทำกรรมต่าง ๆ และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏให้ได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามเหตุที่ได้กระทำไว้
ผู้หญิงชื่อน้อยก็เป็นคนหนึ่ง ที่กำลังเสวยกรรมอย่างแสนสาหัส หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น "โรคกรรมชนิดเรื้อรัง" ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะหายเป็นปรกติได้...... ฉันรู้จักน้อยร่วม ๑๕ ปีแล้ว เธอแต่งงานกับชาวสวิส สามีเป็นข้าราชการ ส่วนตัวเธอเป็นแม่บ้าน ไม่ต้องทำงานไม่ต้องเรียนอะไรทั้งนั้น เพราะสามีมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูเธอให้อยู่อย่างสุขสบายได้ เธอจึงไม่ต้องลำบากขนขวายอะไรทั้งนั้น สามีพูดไทยเก่ง เธอก็เลยสบายไป ไม่ต้องเรียนภาษาเยอรมันให้ยุ่งยากลำบากใจ ชีวิตเธอเหมือนฝัน เช้าตื่นสายแต่งตัวสวย พอบ่าย ๆ หล่อนก็ออกเที่ยว สามีกลับบ้านบางวันไม่เจอที่บ้าน ก็จะไปเจอกันที่ร้านอาหารหรือไม่ก็ที่บาร์ สามีก็เป็นคนชอบสำราญพอ ๆ กัน ปรกติก็ไม่ค่อยทำอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว จะทำเฉพาะงานชั่วคราวเท่านั้น จะได้มีเวลาเสพสุข ตอนหลังเศรษฐกิจตกต่ำและอายุก็เริ่มมากขึ้น จึงได้ทำงานเป็นหลักแหล่ง
น้อยและสามีได้ประสบเคราะห์กรรมหนักแบบสุด ๆ พร้อมกัน สามีของเธอเคยชวนฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะตายด้วย เลยต้องทนทุกข์ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ สามีเป็นโรคหัวใจผิดปรกติเสื่อมสมรรถภาพ ต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง ส่วนน้อยก็เจออะไรที่ไม่ธรรมดา ๆ คงเป็นเพราะว่า เธอเคยพูดเสมอว่า ชีวิตของเธอจะไม่มีวันตกต่ำเป็นเด็ดขาด เธอสามามารถจัดการชีวิตตนเองได้ตามที่ปรารถนา ในที่สุดเธอก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่มีใครสามารถจัดการชีวิตให้เป็นไปตามปรารถนาได้....ชีวิตเป็นไปตามกรรม ใครจะมาเก่งหรือใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ
เธอและสามีไม่เคยสนใจเรื่องศีล ทาน สมาธิเลย สนใจอย่างเดียวคือเรื่องอบายมุข มาบัดนี้น้อยคนสวยได้กลายเป็นคนที่มีจิตวิปลาสไปเสียแล้ว เธอได้เล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว เธอกับสามีได้ไปเที่ยวเมืองไทย ไปเที่ยวแถว ๆ ภาคอีสาน จังหวัดอะไรฉันก็จำไม่แม่น เธอได้คิดลบหลู่และคิดสับปะดนลามกต่อรูปบูชาในสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากกลับถึงบ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ เธอได้มีความรู้สึกทางจิตผิดปรกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชอบคิดลามกเกี่ยวกับการร่วมเพศกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ไม่สมควร เช่น เกี่ยวกับพระสงฆ์ หรือเกี่ยวกับบุคคลระดับดัง ๆ ระดับใหญ่ ๆ ไม่เพียงแต่คิดเท่านั้น ยังมีการกระทำแบบลับ ๆ ด้วยตนเอง มีพฤติกรรมที่น่าอดสูเช่นนี้บ่อย ๆ และจิตคิดตลอดเวลาจนทำให้เจ้าตัวกินไม่ได้นอนไม่หลับ หน้าดำคร่ำเครียด ตัวซีดเซียวเหมือนโดนผีสิง เห็นแล้วตกใจไปทำอะไรมา เมื่อก่อนเห็นสวย ๆ มีมาดดี มาตอนนี้เหมือนผีตายซาก เพื่อน ๆ เห็นเธอแล้ว ตกใจต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "น่าสงสาร" มาก ๆ เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นคนเด่นในพวกขี้เหล้าเมายา เป็นที่่รู้จักในกลุ่มคนไทยที่ชอบเที่ยว
จากอาการเริ่มแรกยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก ว่าตนเองป่วยทางจิต เธอก็ยังประพฤติตนเช่นเดิม แต่เพิ่มการดื่ม การดูดบุหรี่มากขึ้น เพื่อจะลบล้างความคิดวิปลาสที่ครอบงำอยู่บ่อย ๆ นับวันแต่จะหนักขึ้น ๆ เพราะความคิดลามกสับปะดนเล่นงานไม่มีการพัก เลยเธอต้องกลายเป็นคนขี้เมาโดยสมบูรณ์ พอส่างเมาก็เติมต่อเรื่อย ๆ ในที่สุดออกบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีแรง ไม่กล้าไปตามบ้านเพื่อนหรือร้านอาหารไทย ๆ เพราะว่าตามสถานที่เหล่านี้ จะมีพระพุทธรูปไว้บูชา เธอกลัวใจตนเองคิดลามกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตเศร้ามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอได้ไปให้พระที่วัดไทย ช่วยปัดเป่ารักษามาหลายครั้ง อาการก็ยังเหมือนเดิม พระเกจิอาจารย์เขมรชื่อดังมาจากประเทศเขมร เก่งด้านเวทมนต์คาถา มีวิชาอาคมด้านคุณไสย ได้ช่วยทำพิธีถอนของหรือปราบวิญญาณแฝง รักษาปัดเป่าอยู่หลายวัน หมดไข่ไปหลายฟอง ก็พอเบาลงแค่ตอนที่ทำเสร็จใหม่ ๆ จากนั้นก็เหมือนเดิมอีก พระเกจิอาจารย์ (หลวงพ่อวัชระ) แห่งวัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ก็เคยรักษาให้แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ทำต่อเนื่อง เธอมีความทุกข์ใจมาก ได้แต่ร้องไห้ทุกวันคืน ไม่รู้จะพึ่งใครดี
ในที่สุดได้หันมาพึ่งทางธรรม ด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิบ้างในบางครั้งบางวัน ทำบุญทำทาน จัดทอดผ้าป่าบ้าง ทำบุญสารพัดรูปแบบ ไปบวชพราหมณ์อยู่ที่วัดในเมืองไทยมาแล้ว อาการของจิตวิปลาสก็เบาบางลงบ้างนิดหน่อย แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะออกจากความคิดลามกได้ ส่วนสามีของเธอก็ป่วยมาตลอด จนไม่สามารถทำงานได้ เมื่อก่อนชอบเที่ยวนอกบ้านแทบทุกวัน เดี๋ยวนี้ต้องอยู่กับบ้านแทบทุกวัน เพราะร่างกายและจิตใจเสื่อมโทรมหนัก แต่ก็ยังดีที่ทั้งสองคนนี้ ได้หันมาใฝ่ใจในด้านการบุญการกุศล......คนเราส่วนใหญ่ตอนที่ยังดี ๆ อยู่ ก็ลืมนึกถึงความตาย ลืมเรื่องบุญทานการกุศล พอเกิดความทุกข์ครอบงำ จึงหันมาทำดี คิดว่าคงจะช่วยได้ทันตาเห็น ที่จริงแล้วเรื่องกรรมนี้ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเลย ก็จะคิดว่าวิบากกรรมส่งผลทันตา เราเกิดมาหลายชาติโกฎกัป ได้เคยกระทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ฉะนั้น ผลของกรรมในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมาก ย่อมจะส่งผลให้เป็นสุขหรือทุกข์ในชาตินี้ได้ ซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย กรรมไม่ได้ส่งผลทันทีในชาตินี้เสมอไป แต่ถ้าเป็นคุรุกรรม (กรรมหนัก) ก็ส่งผลทันทีในชาตินี้ ชีวิตทุกคนเป็นไปตามกรรมของตน
เรื่องนี้ก็เป็นคติสอนใจหรือเตือนใจว่า ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท อาศัยกินบุญเก่าหมดแล้วจึงสร้างบุญใหม่ เผลอ ๆ ตายอย่างกระทันหัน แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องนำทางไปสู่สุคติภูมิล่ะ และเรื่องความเชื่อของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ศาสนาพุทธสอนให้เป็นคนมีเหตุผล มีสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิต สิ่งใดที่เราพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ จะได้ไม่ขาดทุน เหมือนผู้หญิงชื่อน้อยคนนี้...เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า กรรมเป็นเครื่องตัดสินชีวิตของเราเอง ใครจะมาใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ
เรื่องราวชีวิตของน้อย ฉันก็คิดว่ายังไม่จบลงในวันนี้หรอก เพราะเหตุว่าอาการทางจิตใจของเธอ ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ปรกติเท่าไรนัก สักวันหนึ่งฉันอาจจะมีเรื่องของเธอ มาเล่าต่ออีกก็ได้.....ท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง ลองพิจารณาจิตดูนะคะ ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "น่าสงสาร" (กรุณา) นึกอยากจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ขณะนั้นจิตของท่านเป็นกุศลจิต แต่ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "เศร้าใจ" (โทมนัส) ขณะนั้นจิตของท่านเป็นอกุศลจิต.........แล้วพบกันอีกในตอนต่อไปจ๊ะ
.........................................
ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกนี้ ท่านไม่มีการติชมกันอย่างเปิดเผย ก็ไม่เป็นไรจ๊ะ แต่ฉันก็ได้กำลังใจจากท่านผู้อ่านมากทีเดียว ทำให้ต้องขยันส่งบทความบ่อย ๆ ถึงแม้ว่าบางครั้งได้หายเงียบไป แต่ก็ไม่นานเกินรอ.....
วันนี้ฉันได้ขึ้นชื่อเรื่องไว้ว่า "กรรมของผู้หญิงชื่อน้อย" ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเป็นเรื่องไม่เหมือนใคร ไม่รู้น่ะ....ท่านอ่านกันแล้วอาจจะว่าไม่น่าสน เราก็ไม่ว่ากัน เพราะเหตุว่าแต่ละคนมีจิตที่วิจิตรแตกต่างกันตามการสะสมของตน.....ชีวิตคนเราวันหนึ่ง ๆ ไม่พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสบ้าง เป็นทาสของความคิดบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นจึงหนีไม่พ้นความทุกข์....ทุกข์กายยังรักษาได้ด้วยหยูกยา แต่ความทุกข์ใจนี่ซิ ยากแก่การเยียวยารักษา ไม่มีหมอที่ไหนช่วยรักษาหรือผ่าตัดให้ได้ นอกจากต้องเป็นหมอเอง ก่อนที่จะสามารถรักษาโรคจิตของตนได้นั้น ก็ต้องร่ำเรียนมากทีเดียว จนสามารถรู้วิธีใช้เภสัชขนานต่าง ๆ ได้ถูกต้องกับโรค.....โรคทางใจบางอย่างดื้อยา จนกลายเป็นชนิดเรื้อรังก็มี.... ใจหรือจิตนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าใจสร้างกรรมก็ทำให้เป็นโรคกรรม แต่ตัวกรรมจริง ๆ นั้นอยู่ที่ "เจตนา" เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต หมายถึงความจงใจ ตั้งใจ กระทำกรรมต่าง ๆ และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏให้ได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามเหตุที่ได้กระทำไว้
ผู้หญิงชื่อน้อยก็เป็นคนหนึ่ง ที่กำลังเสวยกรรมอย่างแสนสาหัส หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น "โรคกรรมชนิดเรื้อรัง" ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะหายเป็นปรกติได้...... ฉันรู้จักน้อยร่วม ๑๕ ปีแล้ว เธอแต่งงานกับชาวสวิส สามีเป็นข้าราชการ ส่วนตัวเธอเป็นแม่บ้าน ไม่ต้องทำงานไม่ต้องเรียนอะไรทั้งนั้น เพราะสามีมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูเธอให้อยู่อย่างสุขสบายได้ เธอจึงไม่ต้องลำบากขนขวายอะไรทั้งนั้น สามีพูดไทยเก่ง เธอก็เลยสบายไป ไม่ต้องเรียนภาษาเยอรมันให้ยุ่งยากลำบากใจ ชีวิตเธอเหมือนฝัน เช้าตื่นสายแต่งตัวสวย พอบ่าย ๆ หล่อนก็ออกเที่ยว สามีกลับบ้านบางวันไม่เจอที่บ้าน ก็จะไปเจอกันที่ร้านอาหารหรือไม่ก็ที่บาร์ สามีก็เป็นคนชอบสำราญพอ ๆ กัน ปรกติก็ไม่ค่อยทำอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว จะทำเฉพาะงานชั่วคราวเท่านั้น จะได้มีเวลาเสพสุข ตอนหลังเศรษฐกิจตกต่ำและอายุก็เริ่มมากขึ้น จึงได้ทำงานเป็นหลักแหล่ง
น้อยและสามีได้ประสบเคราะห์กรรมหนักแบบสุด ๆ พร้อมกัน สามีของเธอเคยชวนฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะตายด้วย เลยต้องทนทุกข์ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ สามีเป็นโรคหัวใจผิดปรกติเสื่อมสมรรถภาพ ต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง ส่วนน้อยก็เจออะไรที่ไม่ธรรมดา ๆ คงเป็นเพราะว่า เธอเคยพูดเสมอว่า ชีวิตของเธอจะไม่มีวันตกต่ำเป็นเด็ดขาด เธอสามามารถจัดการชีวิตตนเองได้ตามที่ปรารถนา ในที่สุดเธอก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่มีใครสามารถจัดการชีวิตให้เป็นไปตามปรารถนาได้....ชีวิตเป็นไปตามกรรม ใครจะมาเก่งหรือใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ
เธอและสามีไม่เคยสนใจเรื่องศีล ทาน สมาธิเลย สนใจอย่างเดียวคือเรื่องอบายมุข มาบัดนี้น้อยคนสวยได้กลายเป็นคนที่มีจิตวิปลาสไปเสียแล้ว เธอได้เล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว เธอกับสามีได้ไปเที่ยวเมืองไทย ไปเที่ยวแถว ๆ ภาคอีสาน จังหวัดอะไรฉันก็จำไม่แม่น เธอได้คิดลบหลู่และคิดสับปะดนลามกต่อรูปบูชาในสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากกลับถึงบ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ เธอได้มีความรู้สึกทางจิตผิดปรกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชอบคิดลามกเกี่ยวกับการร่วมเพศกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ไม่สมควร เช่น เกี่ยวกับพระสงฆ์ หรือเกี่ยวกับบุคคลระดับดัง ๆ ระดับใหญ่ ๆ ไม่เพียงแต่คิดเท่านั้น ยังมีการกระทำแบบลับ ๆ ด้วยตนเอง มีพฤติกรรมที่น่าอดสูเช่นนี้บ่อย ๆ และจิตคิดตลอดเวลาจนทำให้เจ้าตัวกินไม่ได้นอนไม่หลับ หน้าดำคร่ำเครียด ตัวซีดเซียวเหมือนโดนผีสิง เห็นแล้วตกใจไปทำอะไรมา เมื่อก่อนเห็นสวย ๆ มีมาดดี มาตอนนี้เหมือนผีตายซาก เพื่อน ๆ เห็นเธอแล้ว ตกใจต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "น่าสงสาร" มาก ๆ เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นคนเด่นในพวกขี้เหล้าเมายา เป็นที่่รู้จักในกลุ่มคนไทยที่ชอบเที่ยว
จากอาการเริ่มแรกยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก ว่าตนเองป่วยทางจิต เธอก็ยังประพฤติตนเช่นเดิม แต่เพิ่มการดื่ม การดูดบุหรี่มากขึ้น เพื่อจะลบล้างความคิดวิปลาสที่ครอบงำอยู่บ่อย ๆ นับวันแต่จะหนักขึ้น ๆ เพราะความคิดลามกสับปะดนเล่นงานไม่มีการพัก เลยเธอต้องกลายเป็นคนขี้เมาโดยสมบูรณ์ พอส่างเมาก็เติมต่อเรื่อย ๆ ในที่สุดออกบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีแรง ไม่กล้าไปตามบ้านเพื่อนหรือร้านอาหารไทย ๆ เพราะว่าตามสถานที่เหล่านี้ จะมีพระพุทธรูปไว้บูชา เธอกลัวใจตนเองคิดลามกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตเศร้ามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอได้ไปให้พระที่วัดไทย ช่วยปัดเป่ารักษามาหลายครั้ง อาการก็ยังเหมือนเดิม พระเกจิอาจารย์เขมรชื่อดังมาจากประเทศเขมร เก่งด้านเวทมนต์คาถา มีวิชาอาคมด้านคุณไสย ได้ช่วยทำพิธีถอนของหรือปราบวิญญาณแฝง รักษาปัดเป่าอยู่หลายวัน หมดไข่ไปหลายฟอง ก็พอเบาลงแค่ตอนที่ทำเสร็จใหม่ ๆ จากนั้นก็เหมือนเดิมอีก พระเกจิอาจารย์ (หลวงพ่อวัชระ) แห่งวัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ก็เคยรักษาให้แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้ทำต่อเนื่อง เธอมีความทุกข์ใจมาก ได้แต่ร้องไห้ทุกวันคืน ไม่รู้จะพึ่งใครดี
ในที่สุดได้หันมาพึ่งทางธรรม ด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิบ้างในบางครั้งบางวัน ทำบุญทำทาน จัดทอดผ้าป่าบ้าง ทำบุญสารพัดรูปแบบ ไปบวชพราหมณ์อยู่ที่วัดในเมืองไทยมาแล้ว อาการของจิตวิปลาสก็เบาบางลงบ้างนิดหน่อย แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะออกจากความคิดลามกได้ ส่วนสามีของเธอก็ป่วยมาตลอด จนไม่สามารถทำงานได้ เมื่อก่อนชอบเที่ยวนอกบ้านแทบทุกวัน เดี๋ยวนี้ต้องอยู่กับบ้านแทบทุกวัน เพราะร่างกายและจิตใจเสื่อมโทรมหนัก แต่ก็ยังดีที่ทั้งสองคนนี้ ได้หันมาใฝ่ใจในด้านการบุญการกุศล......คนเราส่วนใหญ่ตอนที่ยังดี ๆ อยู่ ก็ลืมนึกถึงความตาย ลืมเรื่องบุญทานการกุศล พอเกิดความทุกข์ครอบงำ จึงหันมาทำดี คิดว่าคงจะช่วยได้ทันตาเห็น ที่จริงแล้วเรื่องกรรมนี้ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเลย ก็จะคิดว่าวิบากกรรมส่งผลทันตา เราเกิดมาหลายชาติโกฎกัป ได้เคยกระทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ฉะนั้น ผลของกรรมในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมาก ย่อมจะส่งผลให้เป็นสุขหรือทุกข์ในชาตินี้ได้ ซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย กรรมไม่ได้ส่งผลทันทีในชาตินี้เสมอไป แต่ถ้าเป็นคุรุกรรม (กรรมหนัก) ก็ส่งผลทันทีในชาตินี้ ชีวิตทุกคนเป็นไปตามกรรมของตน
เรื่องนี้ก็เป็นคติสอนใจหรือเตือนใจว่า ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท อาศัยกินบุญเก่าหมดแล้วจึงสร้างบุญใหม่ เผลอ ๆ ตายอย่างกระทันหัน แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องนำทางไปสู่สุคติภูมิล่ะ และเรื่องความเชื่อของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ศาสนาพุทธสอนให้เป็นคนมีเหตุผล มีสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิต สิ่งใดที่เราพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ จะได้ไม่ขาดทุน เหมือนผู้หญิงชื่อน้อยคนนี้...เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า กรรมเป็นเครื่องตัดสินชีวิตของเราเอง ใครจะมาใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ
เรื่องราวชีวิตของน้อย ฉันก็คิดว่ายังไม่จบลงในวันนี้หรอก เพราะเหตุว่าอาการทางจิตใจของเธอ ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ปรกติเท่าไรนัก สักวันหนึ่งฉันอาจจะมีเรื่องของเธอ มาเล่าต่ออีกก็ได้.....ท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง ลองพิจารณาจิตดูนะคะ ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "น่าสงสาร" (กรุณา) นึกอยากจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ขณะนั้นจิตของท่านเป็นกุศลจิต แต่ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "เศร้าใจ" (โทมนัส) ขณะนั้นจิตของท่านเป็นอกุศลจิต.........แล้วพบกันอีกในตอนต่อไปจ๊ะ
.........................................