วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กรรมของผู้หญิงชื่อน้อย

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ  ที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อกนี้  ท่านไม่มีการติชมกันอย่างเปิดเผย ก็ไม่เป็นไรจ๊ะ  แต่ฉันก็ได้กำลังใจจากท่านผู้อ่านมากทีเดียว ทำให้ต้องขยันส่งบทความบ่อย ๆ ถึงแม้ว่าบางครั้งได้หายเงียบไป  แต่ก็ไม่นานเกินรอ.....

วันนี้ฉันได้ขึ้นชื่อเรื่องไว้ว่า "กรรมของผู้หญิงชื่อน้อย"  ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเป็นเรื่องไม่เหมือนใคร ไม่รู้น่ะ....ท่านอ่านกันแล้วอาจจะว่าไม่น่าสน  เราก็ไม่ว่ากัน เพราะเหตุว่าแต่ละคนมีจิตที่วิจิตรแตกต่างกันตามการสะสมของตน.....ชีวิตคนเราวันหนึ่ง ๆ  ไม่พ้นการตกเป็นทาสของกิเลสบ้าง เป็นทาสของความคิดบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัย  เพราะฉะนั้นจึงหนีไม่พ้นความทุกข์....ทุกข์กายยังรักษาได้ด้วยหยูกยา  แต่ความทุกข์ใจนี่ซิ ยากแก่การเยียวยารักษา ไม่มีหมอที่ไหนช่วยรักษาหรือผ่าตัดให้ได้ นอกจากต้องเป็นหมอเอง  ก่อนที่จะสามารถรักษาโรคจิตของตนได้นั้น  ก็ต้องร่ำเรียนมากทีเดียว จนสามารถรู้วิธีใช้เภสัชขนานต่าง ๆ ได้ถูกต้องกับโรค.....โรคทางใจบางอย่างดื้อยา จนกลายเป็นชนิดเรื้อรังก็มี.... ใจหรือจิตนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน  ถ้าใจสร้างกรรมก็ทำให้เป็นโรคกรรม  แต่ตัวกรรมจริง ๆ นั้นอยู่ที่ "เจตนา"  เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต หมายถึงความจงใจ ตั้งใจ กระทำกรรมต่าง ๆ  และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะส่งผล ๆ ก็จะปรากฏให้ได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามเหตุที่ได้กระทำไว้

ผู้หญิงชื่อน้อยก็เป็นคนหนึ่ง ที่กำลังเสวยกรรมอย่างแสนสาหัส  หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็น "โรคกรรมชนิดเรื้อรัง"  ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะหายเป็นปรกติได้...... ฉันรู้จักน้อยร่วม  ๑๕ ปีแล้ว เธอแต่งงานกับชาวสวิส สามีเป็นข้าราชการ  ส่วนตัวเธอเป็นแม่บ้าน ไม่ต้องทำงานไม่ต้องเรียนอะไรทั้งนั้น เพราะสามีมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูเธอให้อยู่อย่างสุขสบายได้  เธอจึงไม่ต้องลำบากขนขวายอะไรทั้งนั้น  สามีพูดไทยเก่ง เธอก็เลยสบายไป ไม่ต้องเรียนภาษาเยอรมันให้ยุ่งยากลำบากใจ  ชีวิตเธอเหมือนฝัน เช้าตื่นสายแต่งตัวสวย  พอบ่าย ๆ หล่อนก็ออกเที่ยว สามีกลับบ้านบางวันไม่เจอที่บ้าน ก็จะไปเจอกันที่ร้านอาหารหรือไม่ก็ที่บาร์  สามีก็เป็นคนชอบสำราญพอ ๆ กัน  ปรกติก็ไม่ค่อยทำอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว จะทำเฉพาะงานชั่วคราวเท่านั้น จะได้มีเวลาเสพสุข  ตอนหลังเศรษฐกิจตกต่ำและอายุก็เริ่มมากขึ้น จึงได้ทำงานเป็นหลักแหล่ง

น้อยและสามีได้ประสบเคราะห์กรรมหนักแบบสุด ๆ  พร้อมกัน  สามีของเธอเคยชวนฆ่าตัวตายด้วยกัน  แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะตายด้วย  เลยต้องทนทุกข์ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้  สามีเป็นโรคหัวใจผิดปรกติเสื่อมสมรรถภาพ ต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง  ส่วนน้อยก็เจออะไรที่ไม่ธรรมดา ๆ   คงเป็นเพราะว่า เธอเคยพูดเสมอว่า ชีวิตของเธอจะไม่มีวันตกต่ำเป็นเด็ดขาด  เธอสามามารถจัดการชีวิตตนเองได้ตามที่ปรารถนา  ในที่สุดเธอก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่มีใครสามารถจัดการชีวิตให้เป็นไปตามปรารถนาได้....ชีวิตเป็นไปตามกรรม ใครจะมาเก่งหรือใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ

เธอและสามีไม่เคยสนใจเรื่องศีล ทาน สมาธิเลย  สนใจอย่างเดียวคือเรื่องอบายมุข  มาบัดนี้น้อยคนสวยได้กลายเป็นคนที่มีจิตวิปลาสไปเสียแล้ว  เธอได้เล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว เธอกับสามีได้ไปเที่ยวเมืองไทย ไปเที่ยวแถว ๆ ภาคอีสาน จังหวัดอะไรฉันก็จำไม่แม่น  เธอได้คิดลบหลู่และคิดสับปะดนลามกต่อรูปบูชาในสถานที่แห่งหนึ่ง  หลังจากกลับถึงบ้านที่สวิตเซอร์แลนด์  เธอได้มีความรู้สึกทางจิตผิดปรกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ชอบคิดลามกเกี่ยวกับการร่วมเพศกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ไม่สมควร เช่น เกี่ยวกับพระสงฆ์  หรือเกี่ยวกับบุคคลระดับดัง ๆ  ระดับใหญ่ ๆ  ไม่เพียงแต่คิดเท่านั้น ยังมีการกระทำแบบลับ ๆ ด้วยตนเอง  มีพฤติกรรมที่น่าอดสูเช่นนี้บ่อย ๆ  และจิตคิดตลอดเวลาจนทำให้เจ้าตัวกินไม่ได้นอนไม่หลับ หน้าดำคร่ำเครียด ตัวซีดเซียวเหมือนโดนผีสิง เห็นแล้วตกใจไปทำอะไรมา  เมื่อก่อนเห็นสวย ๆ มีมาดดี  มาตอนนี้เหมือนผีตายซาก  เพื่อน ๆ เห็นเธอแล้ว ตกใจต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "น่าสงสาร" มาก ๆ  เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นคนเด่นในพวกขี้เหล้าเมายา  เป็นที่่รู้จักในกลุ่มคนไทยที่ชอบเที่ยว

จากอาการเริ่มแรกยังไม่ปรากฏชัดเจนนัก ว่าตนเองป่วยทางจิต เธอก็ยังประพฤติตนเช่นเดิม แต่เพิ่มการดื่ม การดูดบุหรี่มากขึ้น เพื่อจะลบล้างความคิดวิปลาสที่ครอบงำอยู่บ่อย ๆ  นับวันแต่จะหนักขึ้น ๆ เพราะความคิดลามกสับปะดนเล่นงานไม่มีการพัก  เลยเธอต้องกลายเป็นคนขี้เมาโดยสมบูรณ์  พอส่างเมาก็เติมต่อเรื่อย ๆ  ในที่สุดออกบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีแรง ไม่กล้าไปตามบ้านเพื่อนหรือร้านอาหารไทย ๆ เพราะว่าตามสถานที่เหล่านี้ จะมีพระพุทธรูปไว้บูชา  เธอกลัวใจตนเองคิดลามกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตเศร้ามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  เธอได้ไปให้พระที่วัดไทย ช่วยปัดเป่ารักษามาหลายครั้ง อาการก็ยังเหมือนเดิม  พระเกจิอาจารย์เขมรชื่อดังมาจากประเทศเขมร เก่งด้านเวทมนต์คาถา มีวิชาอาคมด้านคุณไสย ได้ช่วยทำพิธีถอนของหรือปราบวิญญาณแฝง  รักษาปัดเป่าอยู่หลายวัน หมดไข่ไปหลายฟอง ก็พอเบาลงแค่ตอนที่ทำเสร็จใหม่ ๆ  จากนั้นก็เหมือนเดิมอีก  พระเกจิอาจารย์ (หลวงพ่อวัชระ) แห่งวัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี ก็เคยรักษาให้แต่ก็ไม่ได้ผล  เพราะไม่ได้ทำต่อเนื่อง  เธอมีความทุกข์ใจมาก ได้แต่ร้องไห้ทุกวันคืน ไม่รู้จะพึ่งใครดี

ในที่สุดได้หันมาพึ่งทางธรรม  ด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิบ้างในบางครั้งบางวัน  ทำบุญทำทาน จัดทอดผ้าป่าบ้าง ทำบุญสารพัดรูปแบบ ไปบวชพราหมณ์อยู่ที่วัดในเมืองไทยมาแล้ว  อาการของจิตวิปลาสก็เบาบางลงบ้างนิดหน่อย  แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะออกจากความคิดลามกได้  ส่วนสามีของเธอก็ป่วยมาตลอด  จนไม่สามารถทำงานได้  เมื่อก่อนชอบเที่ยวนอกบ้านแทบทุกวัน  เดี๋ยวนี้ต้องอยู่กับบ้านแทบทุกวัน  เพราะร่างกายและจิตใจเสื่อมโทรมหนัก  แต่ก็ยังดีที่ทั้งสองคนนี้ ได้หันมาใฝ่ใจในด้านการบุญการกุศล......คนเราส่วนใหญ่ตอนที่ยังดี ๆ อยู่  ก็ลืมนึกถึงความตาย ลืมเรื่องบุญทานการกุศล  พอเกิดความทุกข์ครอบงำ จึงหันมาทำดี คิดว่าคงจะช่วยได้ทันตาเห็น  ที่จริงแล้วเรื่องกรรมนี้ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเลย ก็จะคิดว่าวิบากกรรมส่งผลทันตา  เราเกิดมาหลายชาติโกฎกัป  ได้เคยกระทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม  ฉะนั้น ผลของกรรมในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมาก ย่อมจะส่งผลให้เป็นสุขหรือทุกข์ในชาตินี้ได้  ซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย  กรรมไม่ได้ส่งผลทันทีในชาตินี้เสมอไป  แต่ถ้าเป็นคุรุกรรม (กรรมหนัก) ก็ส่งผลทันทีในชาตินี้  ชีวิตทุกคนเป็นไปตามกรรมของตน

เรื่องนี้ก็เป็นคติสอนใจหรือเตือนใจว่า  ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท อาศัยกินบุญเก่าหมดแล้วจึงสร้างบุญใหม่ เผลอ ๆ ตายอย่างกระทันหัน แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องนำทางไปสู่สุคติภูมิล่ะ  และเรื่องความเชื่อของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ศาสนาพุทธสอนให้เป็นคนมีเหตุผล มีสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิต  สิ่งใดที่เราพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ จะได้ไม่ขาดทุน เหมือนผู้หญิงชื่อน้อยคนนี้...เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า  กรรมเป็นเครื่องตัดสินชีวิตของเราเอง ใครจะมาใหญ่เกินกรรมไม่มีแน่ ๆ

เรื่องราวชีวิตของน้อย  ฉันก็คิดว่ายังไม่จบลงในวันนี้หรอก  เพราะเหตุว่าอาการทางจิตใจของเธอ ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ปรกติเท่าไรนัก   สักวันหนึ่งฉันอาจจะมีเรื่องของเธอ มาเล่าต่ออีกก็ได้.....ท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง  ลองพิจารณาจิตดูนะคะ  ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "น่าสงสาร" (กรุณา) นึกอยากจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์  ขณะนั้นจิตของท่านเป็นกุศลจิต  แต่ถ้าท่านมีความรู้สึกว่า "เศร้าใจ" (โทมนัส) ขณะนั้นจิตของท่านเป็นอกุศลจิต.........แล้วพบกันอีกในตอนต่อไปจ๊ะ


                                            .........................................