วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กรรมของคอมมิสซ่าร์

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ยค่ะ...ฉันได้หยุดพักการเขียนไประยะหนึ่ง  เพราะต้องเขียนส่งเว็บอื่นอีกหลายเว็บ...กว่าจะได้คิวเขียนเว็บนี้ก็อาจจะช้าไปหน่อย  แต่ก็คงไม่นานเกินรอจ๊ะ  ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วย....วันนี้ก็มาติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมกันอีกนะคะ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์  เพราะเหตุว่าได้กระทำกุศลกรรมไว้แล้วแต่ปางก่อน  ผลแห่งกุศลกรรมจึงนำปฏิสนธิในภูมิมนุษย์  เป็นผลของมหากุศลจิต จึงเกิดมาเป็นบุคคลที่มีอาการครบ ๓๒  ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อน ก็เป็นบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับความไม่สมประกอบ เป็นคนพิการ หูหนวก ตาบอดหรือบ้าใบ้....และในทางตรงกันข้ามของกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็จะนำปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔  ซึ่งเป็นภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าในภูมิมนุษย์หลายเท่า

วันนี้ฉันก็จะขอเล่าเกี่ยวกับกรรมของสัตว์ในอบายภูมิ ๔  คือ สัตว์เดรัจฉานซึ่งเป็นภูมิที่อยู่ใกล้ชิดกับภูมิมนุษย์มากที่สุด....สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็มีขันธ์ ๕  อันเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เหมือนกับมนุษย์  และต้องมาเสวยผลหรือวิบากกรรมเช่นเดียวกันกับมนุษย์

เรื่องที่ฉันจะเล่านี้  เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวตัวหนึ่ง มีชื่อว่า "Kommissar" เป็นเพศตัวผู้ รูปร่างลักษณะดี ตัวโต มีขนสีดำทั้งตัว ที่ตั้งชื่อพิกลหน่อย  เพราะว่าช่วงนั้นภาพยนต์ทีวีเรื่อง "Kommissar" กำลังฮิตมาก เป็นภาพยนต์เกี่ยวกับอาชญากรรม....แมวตัวนี้เขาคงจะเคยเป็นคนอุปถัมภ์เกื้อกูลฉันและสามีมาแต่ชาติปางก่อน  ชาตินี้เราจึงได้มาเลี้ยงดูเขาตอบแทน  เราไม่ได้ไปเลือกซื้อเขามาเลี้ยงหรอกนะ

เรื่องมีอยู่ว่า....วันหนึ่งในฤดูร้อนเป็นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ๆ  ฉันและสามีได้นั่งดื่มกาแฟอยู่ในสวน  ขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟและคุยกันอยู่นั้น เท้าของฉันข้างหนึ่งได้แกว่งไปถูกอะไรนิ่ม ๆ  ที่ใต้โต๊ะ  ด้วยความสงสัยจึงก้มดูที่ใต้โต๊ะ...ทันใดนั้น  ฉันก็ได้จ้ะเอ๋กับสายตาของแมวดำตัวหนึ่ง เขานอนหมอบอยู่ตรงข้าง ๆ เท้าฉัน  จึงได้บอกให้สามีดู  พอสามีก้มดูที่ใต้โต๊ะก็ตกใจเช่นกัน  เขาบอกว่า "แมวตัวนี้บาดเจ็บที่ขามีเลือดสด ๆ เปื้อนที่ขาหลังข้างหนึ่งนะ  เธอดูให้ดีซิ"   ฉันจึงมองดูให้ทั่วตัวก็พบว่าเขาบาดเจ็บจริงด้วย  จึงได้อุ้มเจ้าแมวผู้น่าสงสารตัวนี้ ขึ้นจากพื้นหญ้าที่เขานอนหมอบอยู่  เขามองหน้าฉันด้วยแววตาเหมือนกับว่า จะบอกให้รู้ว่า เขากำลังบาดเจ็บมาก ขอให้ช่วยด้วย ส่งเสียงร้องเรียกความเมตตาจากพวกเรา "เหมียว ๆ " คงจะบอกว่า "ช่วยด้วย ๆ  ฉันเจ็บเหลือเกิน ๆ"  เราก็รีบช่วยกันทำความสะอาดแผลให้เขาโดยเร็ว  เพราะเกรงว่าจะสายเกินการณ์  ตอนที่ฉันเอายาทิงเจอทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียบากแผลให้  เขาก็ร้องเสียงดังเชียว  คงจะปวดและแสบน่าดู  แต่เขาก็ทนให้ทำจนเสร็จ  พอเห็นแมวร้องเราก็พลอยจะน้ำตาไหลไปด้วยเพราะความสงสารจับใจ  ฉันรู้สึกถูกชะตาเจ้าคอมมิสซ่าร์ตัวนี้มาก  เลยบอกกับสามีว่า "ฉันจะเอาแมวตัวนี้ไว้เลี้ยงในบ้าน"  สามีฉันไม่ตกลงด้วย เพราะกลัวว่าเจ้าของเขาจะมากล่าวหาว่าเราขโมยแมวของเขาไป  ก็จะทำให้เราได้รับความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น  ฉันได้พิจารณาดูแมวตัวนี้แล้วว่า ท่าทางจะไม่มีเจ้าของ  เพราะว่าแกไม่มีสายคล้องคอบ่งบอกว่ามีเจ้าของให้ทราบ  ฉันคิดหาเหตุผลอยู่นานทีเดียว ที่จะเอาชนะสามี  เพื่อที่จะให้เขายอมรับเจ้าแมวดำตัวนี้ให้ได้  ในที่สุดก็เกิดมีไอเดียเด็ด ๆ ผุดขึ้นในใจ จึงรีบบอกสามีว่า "ฉันมีไอเดียที่ดีมากเลยนะ เธอจะเชื่อฉันมั้ย" สามีได้ยินฉันพูดเช่นนั้น ก็ทำหน้าสงสัยว่าไอเดียอะไรกันอีก  ฉันจึงบอกไปว่า "ถ้าเราเลี้ยงแมวตัวนี้ไว้  แมวจะนำโชคให้เรามีลูกสมปรารถนา"  ความคิดนี้ได้ผลทันใจจริง ๆ นะ  สามีตอบตกลงทันทีเลย....ทีนี้้ก็มาถึงตอนตั้งชื่อกัน  คิดกันตั้งนานว่าจะชื่ออะไรดี  ในที่สุดสามีบอกว่าเอาชื่อ "Kommissar" ดีมั้ย ฉันก็ตอบตกลงทันทีเพราะคิดว่าเป็นชื่อไม่เหมือนแมวทั่วไป....ฉันดีใจมากที่ได้แมวไว้เลี้ยงในบ้านดังใจ  วันนั้นเราก็พากันไปหาซื้ออาหาร, นมและที่สำหรับถ่ายทุกข์ ให้แก่สมาชิกใหม่ในครอบครัวเป็นการรับขวัญ  เราต้องให้เขากินของที่อร่อยและให้อิ่มหนำสำราญด้วย  จัดที่สำหรับกินไว้ในห้องครัวเป็นสัดส่วน และที่ถ่ายทุกข์ก็มีส่วนตัวด้วย  ตอนเช้าถ้าอากาศก็จะปล่อยให้ไปถ่ายนอกบ้าน  เวลาเย็นก็ให้เข้าบ้านมานั่งดูทีวีด้วยกัน แต่ต้องนั่งที่ของตน ห้ามก้าวก่ายกันเด็ดขาด เขารู้หน้าที่ดีมาก พูดกันรู้เรื่องเฉพาะภาษาเยอรมันเท่านั้น

เจ้าคอมมิสซาร์มาอยู่กับเราได้ไม่ถึงปี   เราก็โชคดีอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีเด็กอิจฉามาเกิดด้วยอย่างรวดเร็ว  ตอนนั้นเราแต่งงานได้สองปีแล้วจ๊ะ  เป็นอันว่าเราได้ลูกสาวเป็นคนแรกสมดังปรารถนา  เจ้าคอมมิสซ่าก็ตกอันดับไป  จากเมื่อก่อนเคยเป็นที่รักที่สนใจมาก  เป็นเพื่อนวิ่งไล่ขับกับสามีทุกวัน  แมวตัวนี้แก่มากแล้ว  เป็นแมวที่ว่านอนสอนง่าย นิสัยดีมากไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน  ไม่กินของคนอื่น....แต่พอเรามีสมาชิกใหม่ในครอบครัวเพิ่มขึ้น  เขาก็กลายเป็นแมวขี้อิจฉาไปโดยอัตโนมัติ  พอเราเผลอทีไร  เขาก็จะเข้าไปนอนในรถของเด็กเสมอ  ทำขนร่วงบ้าง เอาตีนเปื้อนดินขึ้นไปเหยียบเบาะเด็กบ้าง  ทำให้พวกเราเกิดโทสะอยู่บ่อย ๆ  จนในที่สุดต้องจัดระเบียบใหม่ให้แก่เจ้าคอมมิสซ่าร์  สั่งห้ามเข้าบ้านในตอนกลางวัน  ให้เข้ามากินอาหารได้ตามเวลา แล้วก็ต้องออกไปอยู่นอกบ้าน เขาก็เข้าใจ  พอถึงเวลากินก็เข้าบ้าน  กลางคืนก็ดูทีวีและนอนในบ้าน.....อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ไปทะเลาะกับแมวเพื่อนบ้าน  ด้วยความแก่มากไม่มีแรงจะสู้รบกับแมวอื่นซึ่งหนุ่มกว่า  เลยโดนพวกไอ้หนุ่มฟัดสะบักสะบอมกลับมา  เราก็ต้องพาไปหาสัตวแพทย์ช่วยเย็บแผลให้.....และในเวลาต่อมาไม่นานนัก  ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นเวลาแห่งอกุศลวิบากกรรมของเจ้าคอมมิสซ่าร์  มีปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผลให้เขาต้องเสวย  แผลที่บาดเจ็บนั้นกลับกลายเป็นแผลร้ายและแถมด้วยโรคร้ายซ้ำเติมอย่างหนัก คือเป็น "โรคเอด" เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่แมวเป็นโรคเอ็ดกันเยอะมาก และมีการระบาดด้วย  ฉันก็เพิ่งจะทราบว่าสัตว์ก็เป็นโรคเอ็ดได้เหมือนกัน

ในที่สุดเราก็ต้องนำเจ้าคอมมิสซ่าร์ ไปส่งสัตวแพทย์ให้ช่วยจัดการรักษาด่วน  แต่หมอไม่สามารถจะช่วยชีวิตคอมมิสซ่าร์ได้เลย  เป็นเรื่องเศร้าใจมาก ที่เราจะต้องสูญเสียคอมมิสซ่าร์อย่างรวดเร็ว แต่ใครเล่าจะหนีกฏแห่งกรรมได้  ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์มีวิถีชีวิตเป็นไปตามกรรมด้วยกันทั้งนั้น  ถ้าเราไม่ยอมรับตามความเป็นจริงในเรื่องของกรรม  ไม่เชื่อเรื่องกรรมและวิบากกรรม  เราก็จะต้องมีความทุกข์ใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....แมวผู้น่าสงสารตัวนี้ก็เกิดมาเสวยกรรมเช่นกัน  ยามเจ็บป่วยเราช่วยเขาได้เราก็ช่วยจนถึงที่สุด  แต่ว่าคราวนี้สุดวิสัยจริง ๆ  เราก็ได้ช่วยเหลือเขาครั้งสุดท้ายคือ จ่ายตังค์ค่ายานอนหลับให้เขาไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน  หมอบอกว่ามีวิธีที่ดีที่สุดคือฉีดยาให้เขาหลับไม่ตื่นอีก  ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว  เราก็ได้ช่วยเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย.....หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว  ในคืนวันรุ่งขึ้นเขามาเข้าฝัน  มาให้ฉันเห็นอีกเป็นครั้งสุดท้าย คงจะมาขอบคุณพวกเรา ที่ได้เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลเขามาตลอดด้วยดี

"กฏแห่งกรรม" เป็นของสัตว์โลก  ไม่มีใครหนีกรรมของตนไปได้  ตราบใดที่ยังไม่ศึกษาอบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์  ก็จะต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....ไม่ว่าจะเกิดในภูมิใดก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้น "กฏแห่งกรรม" ทั้งสิ้น กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว  จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด "ผลหรือวิบากกรรม" จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่กำลังของกรรมนั้น ๆ 

สำหรับเรื่อง "กรรมของคอมมิสซ่าร์" ก็คงจะพอเป็นเครื่องเตือนใจได้ว่า  ชีวิตทุกชีวิตมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธฺุ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นที่อยู่อาศัย กรรมใดที่ตนได้กระทำไว้  ตนนั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั่น....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความของฉันมาตลอด....สวัสดีค่ะ  แล้วพบกันอีกนะคะ