สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ยค่ะ...ฉันได้หยุดพักการเขียนไประยะหนึ่ง เพราะต้องเขียนส่งเว็บอื่นอีกหลายเว็บ...กว่าจะได้คิวเขียนเว็บนี้ก็อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็คงไม่นานเกินรอจ๊ะ ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วย....วันนี้ก็มาติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมกันอีกนะคะ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเหตุว่าได้กระทำกุศลกรรมไว้แล้วแต่ปางก่อน ผลแห่งกุศลกรรมจึงนำปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ เป็นผลของมหากุศลจิต จึงเกิดมาเป็นบุคคลที่มีอาการครบ ๓๒ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อน ก็เป็นบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับความไม่สมประกอบ เป็นคนพิการ หูหนวก ตาบอดหรือบ้าใบ้....และในทางตรงกันข้ามของกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็จะนำปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ ซึ่งเป็นภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าในภูมิมนุษย์หลายเท่า
วันนี้ฉันก็จะขอเล่าเกี่ยวกับกรรมของสัตว์ในอบายภูมิ ๔ คือ สัตว์เดรัจฉานซึ่งเป็นภูมิที่อยู่ใกล้ชิดกับภูมิมนุษย์มากที่สุด....สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็มีขันธ์ ๕ อันเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เหมือนกับมนุษย์ และต้องมาเสวยผลหรือวิบากกรรมเช่นเดียวกันกับมนุษย์
เรื่องที่ฉันจะเล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวตัวหนึ่ง มีชื่อว่า "Kommissar" เป็นเพศตัวผู้ รูปร่างลักษณะดี ตัวโต มีขนสีดำทั้งตัว ที่ตั้งชื่อพิกลหน่อย เพราะว่าช่วงนั้นภาพยนต์ทีวีเรื่อง "Kommissar" กำลังฮิตมาก เป็นภาพยนต์เกี่ยวกับอาชญากรรม....แมวตัวนี้เขาคงจะเคยเป็นคนอุปถัมภ์เกื้อกูลฉันและสามีมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้เราจึงได้มาเลี้ยงดูเขาตอบแทน เราไม่ได้ไปเลือกซื้อเขามาเลี้ยงหรอกนะ
เรื่องมีอยู่ว่า....วันหนึ่งในฤดูร้อนเป็นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ๆ ฉันและสามีได้นั่งดื่มกาแฟอยู่ในสวน ขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟและคุยกันอยู่นั้น เท้าของฉันข้างหนึ่งได้แกว่งไปถูกอะไรนิ่ม ๆ ที่ใต้โต๊ะ ด้วยความสงสัยจึงก้มดูที่ใต้โต๊ะ...ทันใดนั้น ฉันก็ได้จ้ะเอ๋กับสายตาของแมวดำตัวหนึ่ง เขานอนหมอบอยู่ตรงข้าง ๆ เท้าฉัน จึงได้บอกให้สามีดู พอสามีก้มดูที่ใต้โต๊ะก็ตกใจเช่นกัน เขาบอกว่า "แมวตัวนี้บาดเจ็บที่ขามีเลือดสด ๆ เปื้อนที่ขาหลังข้างหนึ่งนะ เธอดูให้ดีซิ" ฉันจึงมองดูให้ทั่วตัวก็พบว่าเขาบาดเจ็บจริงด้วย จึงได้อุ้มเจ้าแมวผู้น่าสงสารตัวนี้ ขึ้นจากพื้นหญ้าที่เขานอนหมอบอยู่ เขามองหน้าฉันด้วยแววตาเหมือนกับว่า จะบอกให้รู้ว่า เขากำลังบาดเจ็บมาก ขอให้ช่วยด้วย ส่งเสียงร้องเรียกความเมตตาจากพวกเรา "เหมียว ๆ " คงจะบอกว่า "ช่วยด้วย ๆ ฉันเจ็บเหลือเกิน ๆ" เราก็รีบช่วยกันทำความสะอาดแผลให้เขาโดยเร็ว เพราะเกรงว่าจะสายเกินการณ์ ตอนที่ฉันเอายาทิงเจอทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียบากแผลให้ เขาก็ร้องเสียงดังเชียว คงจะปวดและแสบน่าดู แต่เขาก็ทนให้ทำจนเสร็จ พอเห็นแมวร้องเราก็พลอยจะน้ำตาไหลไปด้วยเพราะความสงสารจับใจ ฉันรู้สึกถูกชะตาเจ้าคอมมิสซ่าร์ตัวนี้มาก เลยบอกกับสามีว่า "ฉันจะเอาแมวตัวนี้ไว้เลี้ยงในบ้าน" สามีฉันไม่ตกลงด้วย เพราะกลัวว่าเจ้าของเขาจะมากล่าวหาว่าเราขโมยแมวของเขาไป ก็จะทำให้เราได้รับความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ฉันได้พิจารณาดูแมวตัวนี้แล้วว่า ท่าทางจะไม่มีเจ้าของ เพราะว่าแกไม่มีสายคล้องคอบ่งบอกว่ามีเจ้าของให้ทราบ ฉันคิดหาเหตุผลอยู่นานทีเดียว ที่จะเอาชนะสามี เพื่อที่จะให้เขายอมรับเจ้าแมวดำตัวนี้ให้ได้ ในที่สุดก็เกิดมีไอเดียเด็ด ๆ ผุดขึ้นในใจ จึงรีบบอกสามีว่า "ฉันมีไอเดียที่ดีมากเลยนะ เธอจะเชื่อฉันมั้ย" สามีได้ยินฉันพูดเช่นนั้น ก็ทำหน้าสงสัยว่าไอเดียอะไรกันอีก ฉันจึงบอกไปว่า "ถ้าเราเลี้ยงแมวตัวนี้ไว้ แมวจะนำโชคให้เรามีลูกสมปรารถนา" ความคิดนี้ได้ผลทันใจจริง ๆ นะ สามีตอบตกลงทันทีเลย....ทีนี้้ก็มาถึงตอนตั้งชื่อกัน คิดกันตั้งนานว่าจะชื่ออะไรดี ในที่สุดสามีบอกว่าเอาชื่อ "Kommissar" ดีมั้ย ฉันก็ตอบตกลงทันทีเพราะคิดว่าเป็นชื่อไม่เหมือนแมวทั่วไป....ฉันดีใจมากที่ได้แมวไว้เลี้ยงในบ้านดังใจ วันนั้นเราก็พากันไปหาซื้ออาหาร, นมและที่สำหรับถ่ายทุกข์ ให้แก่สมาชิกใหม่ในครอบครัวเป็นการรับขวัญ เราต้องให้เขากินของที่อร่อยและให้อิ่มหนำสำราญด้วย จัดที่สำหรับกินไว้ในห้องครัวเป็นสัดส่วน และที่ถ่ายทุกข์ก็มีส่วนตัวด้วย ตอนเช้าถ้าอากาศก็จะปล่อยให้ไปถ่ายนอกบ้าน เวลาเย็นก็ให้เข้าบ้านมานั่งดูทีวีด้วยกัน แต่ต้องนั่งที่ของตน ห้ามก้าวก่ายกันเด็ดขาด เขารู้หน้าที่ดีมาก พูดกันรู้เรื่องเฉพาะภาษาเยอรมันเท่านั้น
เจ้าคอมมิสซาร์มาอยู่กับเราได้ไม่ถึงปี เราก็โชคดีอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีเด็กอิจฉามาเกิดด้วยอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเราแต่งงานได้สองปีแล้วจ๊ะ เป็นอันว่าเราได้ลูกสาวเป็นคนแรกสมดังปรารถนา เจ้าคอมมิสซ่าก็ตกอันดับไป จากเมื่อก่อนเคยเป็นที่รักที่สนใจมาก เป็นเพื่อนวิ่งไล่ขับกับสามีทุกวัน แมวตัวนี้แก่มากแล้ว เป็นแมวที่ว่านอนสอนง่าย นิสัยดีมากไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่กินของคนอื่น....แต่พอเรามีสมาชิกใหม่ในครอบครัวเพิ่มขึ้น เขาก็กลายเป็นแมวขี้อิจฉาไปโดยอัตโนมัติ พอเราเผลอทีไร เขาก็จะเข้าไปนอนในรถของเด็กเสมอ ทำขนร่วงบ้าง เอาตีนเปื้อนดินขึ้นไปเหยียบเบาะเด็กบ้าง ทำให้พวกเราเกิดโทสะอยู่บ่อย ๆ จนในที่สุดต้องจัดระเบียบใหม่ให้แก่เจ้าคอมมิสซ่าร์ สั่งห้ามเข้าบ้านในตอนกลางวัน ให้เข้ามากินอาหารได้ตามเวลา แล้วก็ต้องออกไปอยู่นอกบ้าน เขาก็เข้าใจ พอถึงเวลากินก็เข้าบ้าน กลางคืนก็ดูทีวีและนอนในบ้าน.....อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ไปทะเลาะกับแมวเพื่อนบ้าน ด้วยความแก่มากไม่มีแรงจะสู้รบกับแมวอื่นซึ่งหนุ่มกว่า เลยโดนพวกไอ้หนุ่มฟัดสะบักสะบอมกลับมา เราก็ต้องพาไปหาสัตวแพทย์ช่วยเย็บแผลให้.....และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นเวลาแห่งอกุศลวิบากกรรมของเจ้าคอมมิสซ่าร์ มีปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผลให้เขาต้องเสวย แผลที่บาดเจ็บนั้นกลับกลายเป็นแผลร้ายและแถมด้วยโรคร้ายซ้ำเติมอย่างหนัก คือเป็น "โรคเอด" เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่แมวเป็นโรคเอ็ดกันเยอะมาก และมีการระบาดด้วย ฉันก็เพิ่งจะทราบว่าสัตว์ก็เป็นโรคเอ็ดได้เหมือนกัน
ในที่สุดเราก็ต้องนำเจ้าคอมมิสซ่าร์ ไปส่งสัตวแพทย์ให้ช่วยจัดการรักษาด่วน แต่หมอไม่สามารถจะช่วยชีวิตคอมมิสซ่าร์ได้เลย เป็นเรื่องเศร้าใจมาก ที่เราจะต้องสูญเสียคอมมิสซ่าร์อย่างรวดเร็ว แต่ใครเล่าจะหนีกฏแห่งกรรมได้ ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์มีวิถีชีวิตเป็นไปตามกรรมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยอมรับตามความเป็นจริงในเรื่องของกรรม ไม่เชื่อเรื่องกรรมและวิบากกรรม เราก็จะต้องมีความทุกข์ใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....แมวผู้น่าสงสารตัวนี้ก็เกิดมาเสวยกรรมเช่นกัน ยามเจ็บป่วยเราช่วยเขาได้เราก็ช่วยจนถึงที่สุด แต่ว่าคราวนี้สุดวิสัยจริง ๆ เราก็ได้ช่วยเหลือเขาครั้งสุดท้ายคือ จ่ายตังค์ค่ายานอนหลับให้เขาไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน หมอบอกว่ามีวิธีที่ดีที่สุดคือฉีดยาให้เขาหลับไม่ตื่นอีก ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว เราก็ได้ช่วยเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย.....หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ในคืนวันรุ่งขึ้นเขามาเข้าฝัน มาให้ฉันเห็นอีกเป็นครั้งสุดท้าย คงจะมาขอบคุณพวกเรา ที่ได้เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลเขามาตลอดด้วยดี
"กฏแห่งกรรม" เป็นของสัตว์โลก ไม่มีใครหนีกรรมของตนไปได้ ตราบใดที่ยังไม่ศึกษาอบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ ก็จะต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....ไม่ว่าจะเกิดในภูมิใดก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้น "กฏแห่งกรรม" ทั้งสิ้น กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด "ผลหรือวิบากกรรม" จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่กำลังของกรรมนั้น ๆ
สำหรับเรื่อง "กรรมของคอมมิสซ่าร์" ก็คงจะพอเป็นเครื่องเตือนใจได้ว่า ชีวิตทุกชีวิตมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธฺุ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นที่อยู่อาศัย กรรมใดที่ตนได้กระทำไว้ ตนนั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั่น....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความของฉันมาตลอด....สวัสดีค่ะ แล้วพบกันอีกนะคะ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเหตุว่าได้กระทำกุศลกรรมไว้แล้วแต่ปางก่อน ผลแห่งกุศลกรรมจึงนำปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ เป็นผลของมหากุศลจิต จึงเกิดมาเป็นบุคคลที่มีอาการครบ ๓๒ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังอ่อน ก็เป็นบุคคลที่เกิดมาพร้อมกับความไม่สมประกอบ เป็นคนพิการ หูหนวก ตาบอดหรือบ้าใบ้....และในทางตรงกันข้ามของกุศลกรรม ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็จะนำปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ ซึ่งเป็นภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าในภูมิมนุษย์หลายเท่า
วันนี้ฉันก็จะขอเล่าเกี่ยวกับกรรมของสัตว์ในอบายภูมิ ๔ คือ สัตว์เดรัจฉานซึ่งเป็นภูมิที่อยู่ใกล้ชิดกับภูมิมนุษย์มากที่สุด....สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็มีขันธ์ ๕ อันเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เหมือนกับมนุษย์ และต้องมาเสวยผลหรือวิบากกรรมเช่นเดียวกันกับมนุษย์
เรื่องที่ฉันจะเล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวตัวหนึ่ง มีชื่อว่า "Kommissar" เป็นเพศตัวผู้ รูปร่างลักษณะดี ตัวโต มีขนสีดำทั้งตัว ที่ตั้งชื่อพิกลหน่อย เพราะว่าช่วงนั้นภาพยนต์ทีวีเรื่อง "Kommissar" กำลังฮิตมาก เป็นภาพยนต์เกี่ยวกับอาชญากรรม....แมวตัวนี้เขาคงจะเคยเป็นคนอุปถัมภ์เกื้อกูลฉันและสามีมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้เราจึงได้มาเลี้ยงดูเขาตอบแทน เราไม่ได้ไปเลือกซื้อเขามาเลี้ยงหรอกนะ
เรื่องมีอยู่ว่า....วันหนึ่งในฤดูร้อนเป็นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ๆ ฉันและสามีได้นั่งดื่มกาแฟอยู่ในสวน ขณะที่กำลังนั่งดื่มกาแฟและคุยกันอยู่นั้น เท้าของฉันข้างหนึ่งได้แกว่งไปถูกอะไรนิ่ม ๆ ที่ใต้โต๊ะ ด้วยความสงสัยจึงก้มดูที่ใต้โต๊ะ...ทันใดนั้น ฉันก็ได้จ้ะเอ๋กับสายตาของแมวดำตัวหนึ่ง เขานอนหมอบอยู่ตรงข้าง ๆ เท้าฉัน จึงได้บอกให้สามีดู พอสามีก้มดูที่ใต้โต๊ะก็ตกใจเช่นกัน เขาบอกว่า "แมวตัวนี้บาดเจ็บที่ขามีเลือดสด ๆ เปื้อนที่ขาหลังข้างหนึ่งนะ เธอดูให้ดีซิ" ฉันจึงมองดูให้ทั่วตัวก็พบว่าเขาบาดเจ็บจริงด้วย จึงได้อุ้มเจ้าแมวผู้น่าสงสารตัวนี้ ขึ้นจากพื้นหญ้าที่เขานอนหมอบอยู่ เขามองหน้าฉันด้วยแววตาเหมือนกับว่า จะบอกให้รู้ว่า เขากำลังบาดเจ็บมาก ขอให้ช่วยด้วย ส่งเสียงร้องเรียกความเมตตาจากพวกเรา "เหมียว ๆ " คงจะบอกว่า "ช่วยด้วย ๆ ฉันเจ็บเหลือเกิน ๆ" เราก็รีบช่วยกันทำความสะอาดแผลให้เขาโดยเร็ว เพราะเกรงว่าจะสายเกินการณ์ ตอนที่ฉันเอายาทิงเจอทาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียบากแผลให้ เขาก็ร้องเสียงดังเชียว คงจะปวดและแสบน่าดู แต่เขาก็ทนให้ทำจนเสร็จ พอเห็นแมวร้องเราก็พลอยจะน้ำตาไหลไปด้วยเพราะความสงสารจับใจ ฉันรู้สึกถูกชะตาเจ้าคอมมิสซ่าร์ตัวนี้มาก เลยบอกกับสามีว่า "ฉันจะเอาแมวตัวนี้ไว้เลี้ยงในบ้าน" สามีฉันไม่ตกลงด้วย เพราะกลัวว่าเจ้าของเขาจะมากล่าวหาว่าเราขโมยแมวของเขาไป ก็จะทำให้เราได้รับความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ฉันได้พิจารณาดูแมวตัวนี้แล้วว่า ท่าทางจะไม่มีเจ้าของ เพราะว่าแกไม่มีสายคล้องคอบ่งบอกว่ามีเจ้าของให้ทราบ ฉันคิดหาเหตุผลอยู่นานทีเดียว ที่จะเอาชนะสามี เพื่อที่จะให้เขายอมรับเจ้าแมวดำตัวนี้ให้ได้ ในที่สุดก็เกิดมีไอเดียเด็ด ๆ ผุดขึ้นในใจ จึงรีบบอกสามีว่า "ฉันมีไอเดียที่ดีมากเลยนะ เธอจะเชื่อฉันมั้ย" สามีได้ยินฉันพูดเช่นนั้น ก็ทำหน้าสงสัยว่าไอเดียอะไรกันอีก ฉันจึงบอกไปว่า "ถ้าเราเลี้ยงแมวตัวนี้ไว้ แมวจะนำโชคให้เรามีลูกสมปรารถนา" ความคิดนี้ได้ผลทันใจจริง ๆ นะ สามีตอบตกลงทันทีเลย....ทีนี้้ก็มาถึงตอนตั้งชื่อกัน คิดกันตั้งนานว่าจะชื่ออะไรดี ในที่สุดสามีบอกว่าเอาชื่อ "Kommissar" ดีมั้ย ฉันก็ตอบตกลงทันทีเพราะคิดว่าเป็นชื่อไม่เหมือนแมวทั่วไป....ฉันดีใจมากที่ได้แมวไว้เลี้ยงในบ้านดังใจ วันนั้นเราก็พากันไปหาซื้ออาหาร, นมและที่สำหรับถ่ายทุกข์ ให้แก่สมาชิกใหม่ในครอบครัวเป็นการรับขวัญ เราต้องให้เขากินของที่อร่อยและให้อิ่มหนำสำราญด้วย จัดที่สำหรับกินไว้ในห้องครัวเป็นสัดส่วน และที่ถ่ายทุกข์ก็มีส่วนตัวด้วย ตอนเช้าถ้าอากาศก็จะปล่อยให้ไปถ่ายนอกบ้าน เวลาเย็นก็ให้เข้าบ้านมานั่งดูทีวีด้วยกัน แต่ต้องนั่งที่ของตน ห้ามก้าวก่ายกันเด็ดขาด เขารู้หน้าที่ดีมาก พูดกันรู้เรื่องเฉพาะภาษาเยอรมันเท่านั้น
เจ้าคอมมิสซาร์มาอยู่กับเราได้ไม่ถึงปี เราก็โชคดีอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีเด็กอิจฉามาเกิดด้วยอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเราแต่งงานได้สองปีแล้วจ๊ะ เป็นอันว่าเราได้ลูกสาวเป็นคนแรกสมดังปรารถนา เจ้าคอมมิสซ่าก็ตกอันดับไป จากเมื่อก่อนเคยเป็นที่รักที่สนใจมาก เป็นเพื่อนวิ่งไล่ขับกับสามีทุกวัน แมวตัวนี้แก่มากแล้ว เป็นแมวที่ว่านอนสอนง่าย นิสัยดีมากไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่กินของคนอื่น....แต่พอเรามีสมาชิกใหม่ในครอบครัวเพิ่มขึ้น เขาก็กลายเป็นแมวขี้อิจฉาไปโดยอัตโนมัติ พอเราเผลอทีไร เขาก็จะเข้าไปนอนในรถของเด็กเสมอ ทำขนร่วงบ้าง เอาตีนเปื้อนดินขึ้นไปเหยียบเบาะเด็กบ้าง ทำให้พวกเราเกิดโทสะอยู่บ่อย ๆ จนในที่สุดต้องจัดระเบียบใหม่ให้แก่เจ้าคอมมิสซ่าร์ สั่งห้ามเข้าบ้านในตอนกลางวัน ให้เข้ามากินอาหารได้ตามเวลา แล้วก็ต้องออกไปอยู่นอกบ้าน เขาก็เข้าใจ พอถึงเวลากินก็เข้าบ้าน กลางคืนก็ดูทีวีและนอนในบ้าน.....อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ไปทะเลาะกับแมวเพื่อนบ้าน ด้วยความแก่มากไม่มีแรงจะสู้รบกับแมวอื่นซึ่งหนุ่มกว่า เลยโดนพวกไอ้หนุ่มฟัดสะบักสะบอมกลับมา เราก็ต้องพาไปหาสัตวแพทย์ช่วยเย็บแผลให้.....และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นเวลาแห่งอกุศลวิบากกรรมของเจ้าคอมมิสซ่าร์ มีปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผลให้เขาต้องเสวย แผลที่บาดเจ็บนั้นกลับกลายเป็นแผลร้ายและแถมด้วยโรคร้ายซ้ำเติมอย่างหนัก คือเป็น "โรคเอด" เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่แมวเป็นโรคเอ็ดกันเยอะมาก และมีการระบาดด้วย ฉันก็เพิ่งจะทราบว่าสัตว์ก็เป็นโรคเอ็ดได้เหมือนกัน
ในที่สุดเราก็ต้องนำเจ้าคอมมิสซ่าร์ ไปส่งสัตวแพทย์ให้ช่วยจัดการรักษาด่วน แต่หมอไม่สามารถจะช่วยชีวิตคอมมิสซ่าร์ได้เลย เป็นเรื่องเศร้าใจมาก ที่เราจะต้องสูญเสียคอมมิสซ่าร์อย่างรวดเร็ว แต่ใครเล่าจะหนีกฏแห่งกรรมได้ ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์มีวิถีชีวิตเป็นไปตามกรรมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยอมรับตามความเป็นจริงในเรื่องของกรรม ไม่เชื่อเรื่องกรรมและวิบากกรรม เราก็จะต้องมีความทุกข์ใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....แมวผู้น่าสงสารตัวนี้ก็เกิดมาเสวยกรรมเช่นกัน ยามเจ็บป่วยเราช่วยเขาได้เราก็ช่วยจนถึงที่สุด แต่ว่าคราวนี้สุดวิสัยจริง ๆ เราก็ได้ช่วยเหลือเขาครั้งสุดท้ายคือ จ่ายตังค์ค่ายานอนหลับให้เขาไปแบบสบาย ๆ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน หมอบอกว่ามีวิธีที่ดีที่สุดคือฉีดยาให้เขาหลับไม่ตื่นอีก ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว เราก็ได้ช่วยเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย.....หลังจากที่เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว ในคืนวันรุ่งขึ้นเขามาเข้าฝัน มาให้ฉันเห็นอีกเป็นครั้งสุดท้าย คงจะมาขอบคุณพวกเรา ที่ได้เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลเขามาตลอดด้วยดี
"กฏแห่งกรรม" เป็นของสัตว์โลก ไม่มีใครหนีกรรมของตนไปได้ ตราบใดที่ยังไม่ศึกษาอบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ ก็จะต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....ไม่ว่าจะเกิดในภูมิใดก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้น "กฏแห่งกรรม" ทั้งสิ้น กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด "ผลหรือวิบากกรรม" จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ที่กำลังของกรรมนั้น ๆ
สำหรับเรื่อง "กรรมของคอมมิสซ่าร์" ก็คงจะพอเป็นเครื่องเตือนใจได้ว่า ชีวิตทุกชีวิตมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธฺุ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเพื่อน มีกรรมเป็นที่อยู่อาศัย กรรมใดที่ตนได้กระทำไว้ ตนนั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั่น....ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความของฉันมาตลอด....สวัสดีค่ะ แล้วพบกันอีกนะคะ