วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568

โดนแก๊งคอลฯ หลอก (ตอน๓)

 เวลาผ่านไปสองสัปดาห์ยังไม่มีข่าวคราวจากทางธนาคารและทางตำรวจเลย เราจึงได้หาโอกาสไปติดต่อที่ธนาคารเรื่องดอกเบี้ยบ้านว่าช่วงนี้ลดลงหรือยัง เราคิดวางแผนกันว่าจะต้องขายบ้านแน่นอนเพราะมมองไม่เห็นทางอื่นที่จะได้เงินมาเลี้ยงชีพต่อไป โชคดีที่ก่อนหน้านั้นผู้เขียนได้เบิกเงินจากบัญชีสะสมมาไว้ใช้ประจำวันแต่ก็ยังไม่พอที่ชำระดอกเบี้ยบ้านและค่าใช้จ่ายในบ้านอีกมากมาย ไม่ทราบจะไปขอยืมหรือกู้เงินใคร ไปปรึกษาทางธนาคารมาแล้ว เขาบอกว่าคนเกษียณอายุมีรายได้น้อยและจำกัดไม่มีสิทธิ์กู้เงินธนาคาร ถึงแม้ว่าเราจะมีบ้านอยู่ที่ธนาคาร แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเพิ่มเครดิตเลย ชีวิตตกฮวบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ยังโชคดีที่มีเงินพอได้ซื้ออาหารกินไปวันต่อวัน แต่ก็ต้องประหยัดมากๆ ไหนจะต้องเสียค่าประกันสุขภาพ 

เมื่อถึงเวลาชำระค่าประกันสุขภาพรายเดือนไม่ทราบจะได้เงินที่ไหนมาชำระ ในที่สุดต้องโทรไปเล่าความจริงให้ทางบริษัทประกันสุขภาพฟัง โชคดีมาก ๆ ที่เขาเข้าใจปัญหาของเรา เขายินยอมให้เราผ่อนชำระหรือชำระช้ากว่าปกติได้ แต่เราก็ยังทุกข์ใจมากอยู่ดีเพราะว่าเงินที่มีใช้กินอยู่ทุกวันจำกัดมาก พอเงินบำนาญออกก็ต้องรีบชำระใบเสร็จแทบไม่เหลือเลย เราคิดวางแผนกันทุกวันว่าจะทำอย่างไรเพื่อความอยู่รอด จะกลับไทยก็ไม่ได้เพราะไม่มีเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ชีวิตตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ จะเรียกให้มันสะใจก็คือ "ชีวิตบัดซบ" มันบัดซบตอนแก่นี่น่าทุเรศจริงๆ จะหันหน้าไปยืมใครก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะในชีวิตที่อยู่ที่นี่เราไม่เคยลำบากเลย

ในที่สุดเราสองคนก็เกิดมีปากเสียงทะเลาะกันใหญ่โตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้เขียนก็ยอมรับว่าตัวเองมีความผิดที่เป็นคนโลภอยากได้เงินมาก ใครจะคิดว่าคนที่โทรมาพูดจาสุภาพน่าเชื่อถือมากจะกลายเป็นพวกมิจฉาชีพมาหลอกกันจนหมดตัวในเวลาสั้นๆ แล้วก็หายตัวไปเลย ถึงแม้ว่าเราจะทะเลาะกันใหญ่ตัว แต่เราก็สามารถหัวเราะได้ในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว ความเครียดและความกลัวต่างๆ นานาทำใให้เราต้องระบายมันออกมา ในที่สุดเราก็หันหน้าเข้ากอดกันและให้อภัยกัน แล้วเราก็ร่วมมือกันสู้ชีวิตต่อไปอย่างไม่มีความหวัง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะย่อท้อ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเราไม่เคยเล่าใครใครฟังนอกจากเพื่อนบ้านที่ไปส่งเราไปธนาคารในวันเกิดเหตุ ลูกๆ เราก็ไปให้เขารับรู้ด้วย ไม่แน่ใจถ้าเขาได้รับรู้แล้วอาจจะด่าว่าเราก็ได้ ก็จะทำให้เขาเป็นบาปด้วย เราก็เลยไม่เล่าดีกว่า 

วันหนึ่งเราได้ไปพบผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งเขาไปที่ปรึกษาของผู้เขียนมาได้หนึ่งปีแล้ว มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ผู้จัดการท่านนี้เป็นชาวอินเดียหรือชาวศรีลังกา ผู้เขียนไม่สามารถบอกแน่ชัดได้ เพิ่งเข้ามาทำงานได้ ๑ ปี เขาเป็นกันเองดีมากตั้งแต่แรกพบ เราเคยปรึกษาเรื่องขายบ้านและเรื่องเปลี่ยนดอกเบี้ยบ้าน เขาให้คำแนะนำดี ที่ว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริงก็เพราะว่า ผู้เขียนและสามีเคยเข้าไปเกี่ยวข้องและช่วยเหลือการสร้างวัดฮินดูให้แก่ชาวศรีลังกาจนสำเร็จ พอสร้างวัดสำเร็จสามีของผู้เขียนก็เสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในปอด ที่เราได้พบผู้จัดการท่านนี้คิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ เขาพยายามช่วยเหลือเราตั้งแต่วันแรกที่ถูกแก๊งคอนฯ หลอกเอาเงินไปหมดบัญชี เขารีบตามเรื่องอย่างรวดเร็ว

สัปดาห์ที่สามของการติดตามเรื่องราวดูเหมือนว่ายังเงียบอยู่เหมือนเดิม เราได้ไปติดต่อที่ธนาคาร วันนั้นโชคดีมากที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้มีเวลามาพบเราเป็นส่วนตัว ได้แจ้งว่าเราสามารถเปลี่ยนดอกเบี้ยได้ ทำสัญญาและได้เปลี่ยนจากการชำระดอกเบี้ยที่ไม่แน่นอนซึ่งขึ้นอยู่ที่การขึ้นลงของตลาดหุ้น บางช่วงดอกเบี้ยสูงมาก บางช่วงดอกเบี้ยต่ำ ขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอนทำให้เราต่นเต้นอยู่บ่อย ๆ คราวนี้เราเปลี่ยนฟิคจำนวนดอกเบี้ยที่แน่นอน เลยทำให้หมดปัญหาไปเปราะหนึ่งเรื่องค่าใช้จ่าย 

หลังจากได้ทำสัญญาเปลี่ยนการชำระดอกเบี้ยบ้านเสร็จ เราได้ถามเขาว่า เรื่องเงินที่พวกแก๊งคอลฯ เอาไปนั่นน่ะ เราพอมีหวังจะได้คืนไหม เขาตอบเราว่า "มีหวัง" พอได้ยินคำว่ามีหวัง เราสองคนพี่น้องสุดแสนจะดีใจ เหมือนสวรรค์โปรดเราจริงๆ เลยคิดไปว่า ถ้าเราได้เงินคืนทั้งหมดก็แสดงว่าต้องเป็นอานิสงส์จากการที่เราได้เข้าไปช่วยสร้างวัดฮินดูสำเร็จเป็นแน่เลย 

วันรุ่งขึ้นเป็นวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง ท่านผู้จัดการฝ่ายบุคคลของธนาคารได้โทรมาบอกว่า ได้เงินคืนทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เงินได้เข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว เราดีใจมากจนถึงกับปล่อยโหเสียงดังหลังจากที่ได้วางสายแล้ว เราร้องไห้กอดคอกันด้วยความดีใจสุด ๆ  ในสัปดาห์ต่อมาเราก็ได้ไปทำเรื่องขอเปิด E-Banking ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี หลังจากทางฝ่ายเจ้าหน้าได้สอบสวนเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทำการเปิด E-Banking ให่เราใช้ได้ตามปกติ

ก่อนจากกันในวันนั้น ท่านผู้จัดการหนุ่มรูปหล่อท่านนี้ ได้บอกกับพวกเราว่า เคสของเราเป็น 1 ในจำนวน 100 คน (จริง ๆ แล้วอาจจะมากกว่านั้น) ที่ได้เงินคืนอย่างรวดเร็วมาก ส่วนมากจะไม่ได้คืนและยังเตือนผู้เขียนว่า "ต่อไปนี้ไม่ควรรับโทรศัพท์คนแปลกหน้าเด็ดขาด" 

นับตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ผู้เขียนไม่รับโทรฯ ที่ไม่รู้จัดเด็ดขาดเลย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ชีวิตจะได้ไม่ลำบาก

ท่านผู้อ่านค่ะ เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ราคาแพงมากสำหรับผู้เขียนและคำว่าน่าจะเป็นเรื่องเตือนใจท่านผู้อ่านไม่ให้หลงไปรับโทรฯจากพวกแก็งเหมือนผู้เขวียนนะคะ ขิใก้ทุกท่านปลอดภัยจากพวกมิจฉาชีพนะคะ

ขอขอบพระคุณทุกท่านนะคะที่เข้ามาเยือน


วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

โดนแก้งคอลฯ หลอก (ตอน๒)

 พวกราอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์มานานไม่เคยได้ยินเรื่องแก้งคอนเซนเตอร์มาก่อน จึงทำให้พวกเราถูกหลอกได้ง่ายมาก

หลังจากที่ทราบว่าโดนหลอก ผู้เขียนไม่ปล่อยให้เสียเวลากับความตื่นเต้นตกใจแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว รีบโทรแจ้งทางธนาคารให้ระงับบัญชีของผู้เขียนและของน้องสาวทันที ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารก็รีบทำตามความประสงค์ของผู้เขียนอย่างรวดเร็วทันใจ จากนั้นเราก็รีบไปธนาคาร โชคดีเห็นเพื่อนบ้านกำลังขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน ผู้เขียนจึงรี่เข้าไปทักทายเขา แล้วเล่าเรื่องคอนเซ็นเตอร์ให้ฟังทั้งหมด ได้ขอร้องให้เขาช่วยขับรถไปส่งที่ธนาคาร เขาก็ยินดีรีบขับรถไปโดยเร็ว เขารู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเราสองคนที่ถูกหลอกซะอีก ระหว่างทางผู้เขียนพยายามทำสมาธิเพื่อรวบรวมพลังสติ วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนมากในช่วงบ่าย ถ้าเราเดินไปขึ้นรถบัสก็จะเสียเวลาประมาณ 20 นาที ก็นับว่าเราโชคดีในระดับหนึ่งล่ะ พอไปถึงธนาคารเพื่อนบ้านอาสาจะช่วยพูดกับเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ ผู้เขียนได้บอกเธอว่าเราพูดกันเองได้ เพื่อนบ้านคนสวิสใจดีมากและน่ารักเสมอค่ะ 

ผู้เขียนได้ไปแจ้งรายละเอียดให้ทางเจ้าหน้าที่ทางธนาคารรับทราบแล้วถามเขาว่า เรามีโอกาสที่จะได้เงินคืนไหมเพราะได้แจ้งให้ระงับบัญชีทันที เขาตอบว่าไม่มีโอกาสได้เงินคืนเพราะว่าเป็นความผิดของผู้เขียนที่ทำการโอนเงินทั้งหมดเอง ผู้เขียนได้เถียงวว่า "เราไม่ได้ทำการโอนให้เขาแต่เขาโอนเงินฉันไปเองทั้งหมด" เขาย้ำอีกครั้งว่า "ยังไงคุณก็ไม่ได้เงินคืนหรอกครับ" แต่เขาก็ยังหวังดีกับพวกเรา เขาได้แนะนำให้นำใบสำเนาการโอนเงินทั้งหมดนี้ไปแจ้งตำรวจ เราก็รีบไปหาตำรวจทันที 

เราอยู่ที่นี่เป็นเวลานานก็จริง พอเกิดเหตุการณ์ตื่นเต้นเราก็ลืมหมดเเลยว่า สถานีตำรวจอยู่ตรงไหน เดินหากันจนเหนื่อย วันนั้นเราไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันกันเลย แต่มีกำลังมาก เดินไปเรื่อยๆ จนบังเอิญเจอนายตำรวจท่านหนึ่งกำลังตรวจรถที่จอดอยู่ข้างถนน ผู้เขียนได้รี่เข้าไปถามว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหน เขาบอกว่าอยู่ตรงข้ามโบสถ์ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ที่ไหนได้อยู่ในใจกลางเมืองใกล้ๆ นี่เอง 

กว่าจะได้เข้าไปในสถานีตำรวจ ต้องรอให้คนที่อยู่ในห้องนั้นออกมาก่อน แล้วคนต่อไปจึงจะเข้าไปได้ ประตูจะเปิดโดยอัตโนมัต ผู้เขียนได้นำสำเนาการโอนเงินไปยื่นให้นายตำรวจท่านหนึ่ง ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เขาลงบันทึกประจำวันไว้ เขาบอกว่ามีหลายเคสมากที่เจอแบบนี้ ส่วนใหญ่จะไม่ได้เงินคืนเพราะพวกแก้งจะรีบโอนเงินไปต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนได้เอาเบอร์โทรของพวกแก้งแก่นายตำรวจ เขาบอกว่าพวกแก้งมีเบอร์โทรเยอะมาก เขาลองโทรไปก็ไม่มีเสียงตอบจากปลายทาง ก่อนที่เราจะลากลับทางนายตำรวจได้บอกว่า "ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบนะครับ" เราก็ขอบคุณแล้วลากลับบ้าน 

เมื่อกลับมาถึงบ้านได้มีโทรศัพท์จากธนาคารโทรมาหาผู้เขียน ผู้จัดการธนาคารฝ่ายส่วนบุคคล ท่านผู้นี้ผู้เขียนได้รู้จักเขาเมื่อปีที่แล้ว เขาเป็นชาวศรีลังกาเป็นคนหนุ่มที่เพิ่งจะเข้ามาทำงาน เขาต้องการทราบข้อมูลอย่างละเอียดว่า เหตุการณ์เริ่มต้นอย่างไร สรุปแล้วเขาบอกว่า เขามีทีมงานที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะเกี่ยวกับการล่าเงินจากพวกแก้งคอลเซ็นเตอร์  แล้วเขาจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งถ้ามีอะไรคืบหน้า ผู้จัดการท่านนี้เป็นกันเองดีมากเสมอต้นเสมอปลาย 

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไม่มีข่าวจากทางธนาคารและจากทางตำรวจเลย ผู้เขียนและน้องสาวจึงได้ไปพบตำรวจอีกครั้ง คราวนี้ตำรวจที่ทำหน้าที่รับแจ้งความเป็นผู้หญิง เราก็เข้าไปแจ้งว่าเราได้มาแจ้งความเรื่องแก้งคอลเซ็นเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อยากทราบว่าเรื่องราวดำเนินไปถึงไหนแล้ว เธอถามว่าแจ้งไว้กับท่านใด ตอนนั้นเราตื่นเต้นเลยขาดสติ ไม่ได้จดชื่อนายตำรวจท่านนั้นไว้ เลยต้องแจ้งความใหม่อีกครรั้งหนึ่ง เธอบอกว่าเรื่องนี้ต้องส่งไปที่ศูนย์กลางตำรวจไซเบอร์ที่นครหลวงกรุงเบอร์น คงต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าจะทราบผล เธอได้บอกอีกว่าเคสเช่นนี้มีเยอะมากๆ ส่วนใหญ่จะไม่ได้เงินคืนเพราะว่าพวกแก้งจะโอนเงินไปยังแถบอัฟริกาทันที

(กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ)